แต่ปัจจุบันผู้ดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทคือนาย Peter Rawlinson ลูกหม้อเก่าของ Tesla อีกเช่นกัน โดยเขาเป็นผู้ที่เคยนั่งคุมตำแหน่ง Vice President of Engineering ที่ Tesla และยังเป็น Chief Engineer ของ Model S ในตอนนั้นอีกด้วย
Lucid เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับเงินลงทุนจาก Saudi Arabia’s Public Wealth Fund ในปี 2018 ด้วยจำนวนเงินมากถึง 30,000 ล้านบาท จากการที่ประเทศนี้กำลังหา s-curve การเติบโตใหม่หลังหมดยุคของน้ำมัน
หลังจากนั้นบริษัทได้เข้าตลาดหุ้นโดยการควบรวมกับ SPACs ที่ชื่อว่า Churchill Capital Corp IV (NYSE: CCIV) ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา
1. Dream Edition → ราคาประมาณ 5.6 ล้านบาท / 1,080 แรงม้า / ระยะทางที่วิ่งได้ 500+ mi (800+ km)
2. Grand Touring → ราคาประมาณ 4.6 ล้านบาท / 800 แรงม้า / ระยะทางที่วิ่งได้ 500+ mi (800+ km)
3. Touring → ราคาประมาณ 3.1 ล้านบาท / 620 แรงม้า / ระยะทางที่วิ่งได้ 400+ mi (640+ km)
4. Pure → ราคาประมาณ 2.6 ล้านบาท / 480 แรงม้า / ระยะทางที่วิ่งได้ 400+ mi (640+ km)
1
ซึ่งเราจะเห็นว่าราคาขายรถของ Lucid จะค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์อื่นๆ Lucid Air จึงมักจะถูกเปรียบเทียบกับ Tesla Model S และ Porsche Taycan เป็นหลัก
โดยสมรรถนะของ Lucid Air ต้องเรียกได้ว่าโดดเด่นไม่แพ้ใคร และเป็นอันดับต้นๆในอุตสาหกรรมเลยก็ว่าได้ทั้งแรงม้าและระยะทางที่ทำได้ ซึ่งเมื่อเราเทียบรถไฟฟ้าตัวตัวท็อปอย่าง Lucid Dream Edition และ Tesla Model S Long Range จะเห็นได้ว่า Lucid สามารถทำระยะทางได้มากกว่า Tesla ถึงกว่า 26% เลยทีเดียว (500 ไมล์ vs 400 ไมล์)
ซึ่งในอนาคต Lucid จะออกรถยนต์รุ่นใหม่ๆนอกเหนือจาก Lucid Air ที่ราคาต่ำลงมาด้วยเช่นกัน จากการที่บริษัทจะเข้าไปแข่งกับตลาดรถราคาประหยัดแบบที่ Tesla Model 3 ทำอยู่ รวมถึงรถยนต์แบบ SUV ที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมในสหรัฐเป็นอย่างมาก