4 ม.ค. 2022 เวลา 17:27 • ความคิดเห็น
เรื่องราวของคำว่า จุติ เป็นเรื่องของกรรม เรื่องราวของอารมณ์ ดึงให้มาเกิด จิตนั้นมีกรรมก็มีอารมณ์ ห่วงยึดเกิดขึ้น เมื่อมาอาศัยกาย สัตว์หรือมนุษย์ ก็เหมือนจิตนั้นถูกสาบให้มายึดกายมนุษย์เป็นของตน เวทนาอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น อารมณ์ต่างๆ ความคิดต่างๆก็ยึด ยึดอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่มีชีวิต
เรามาดู ที่เค้าพูดกัน กายไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงตลอด เราก็มาสังเกตุการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ลมหายใจ ชีวิตที่ผ่านไปตามวันเวลา มันก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ไม่เคยคงที่ นั้นในส่วนของกายที่พอเป็นรูปธรรมให้จิตรับรู้ได้ ในส่วนที่เป็นนามธรรม เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นส่วนที่เราจับต้องไม่ได้ แต่เป็นส่วนที่จิตแต่ละดวงที่อาศัยเรือนกายนั้นอยู่ที่จะรับรู้ในสิ่งที่เป็นนามธรรมที่ตนอาศัย คือจิตที่เป็นนามธรรมอาศัยอยู่
คราวนี้ เรามาดูว่า ทำไมเราถึงไปนำกายมาประพฤติปฏิบัติธรรม ทำไปเพื่ออะไร เพื่อที่จะเรียนรู้จักสิ่งที่เกิดขึ้นภายในกาย โดยนำกายมานั่งนิ่งๆ เพียรรักษากายให้นิ่ง เพียรให้จิตของเรานิ่งอีกเหมือนกัน สิ่งที่จะให้จิตนิ่ง เพื่อดูเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นที่กายที่จิตอาศัย เราก็อาศัยจิตมาดูที่ลมหายใจ ลมนั้นหรืออากาศที่อยู่นอกกาย เราดูสัมผัสได้ตามผิวหนังมันก็งั้นๆแหละ เหมือนไม่มีพิษสงอะไร แต่เมื่อเราปิดตา นั่งทำกายให้นิ่ง เราก็เอาสติเอาจิตมาดูที่ลมหายใจ ดูลมที่เข้าออก สิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้น มีอะไรบ้าง เราก็อย่าให้สติ และจิตเคลื่อนที่ออกไปจากอารมณ์ เพียรรักษาอยู่ตรงนี้ แล้วเราก็เฝ้าดูตรงลมหายใจ เข้าออกมันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง
เมื่อจิตเคลื่อนที่สติเคลื่อนไปจากลมหายใจ มีอะไรเกิดขึ้น อะไรทำให้จิตเคลื่อนที่ไป
เราก็หมั่นสังเกตุขึ้น ทำไปนานๆ เวทนาเกิดขึ้น เราก็อดทน เจ็บปวดเราก็ทน ให้เกิดมีขันติ มันจะร้องทนไม่ไหวแล้ว จะตายแล้ว ก็ปล่อยเค้าร้อง นั้นคือ เสียงของอารมณ์ พอเราทนไปมากๆ ขันติเป็นบารมี เวทนาของกายก็ไม่มารบกวนจิต เวทนาของกาย ก็เบาลงไปๆ เหลือแต่กายกับจิต จิตที่เค้าปฏิบัติไปถึงจุดที่ละเวทนาของกายได้ ไม่ยึดกาย ไม่มีอารมณ์อะไรเลยขณะนั้น จิตที่ดีๆ เค้าสามารถเคลื่อนออกจากกายนั้นได้ เมื่อเคลื่อนออกจากกายได้ เค้าก็สามารถเห็นเรียนรู้ว่ากายที่เค้าอาศัย เป็นแค่ของสมมุติ ให้ยึดชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง แล้วเค้าก็สามารถดูกิริยาอาการของกายที่เกิดขึ้น ว่าเป็นลักษณะอย่างไร นั้นเป็นเรื่องของบุคคลที่สามารถแยกกายกับจิตออกจากกันได้ ไปจนถึงคำว่าถอดจิต แม้แต่เรื่องราวการถอดจิตก็ยิ่งพิสดาร เพราะต้องถอดเป็นชั้นๆไป เหมือนกับจิตไปอยู่ภพภูมิที่ละเอียดสูงขึ้นๆ ไป นั่นเป็นเรื่องราวของจิตที่มุ่งมั่น หนีการเกิด
เรื่องแบบนี้เราคงเคยได้ฟังมาบ้าง แต่ในการประพฤติปฏิบัติธรรมจริงๆนั้นมันยากเย็นแสนเข็น ยากที่ไปให้ถึงตรงนั้น มันมีเรื่องราวต่างๆมากมายที่เกิดขึ้น ในการเดินทางไปสู่คำว่า กายนิ่งจิตนิ่งที่พูดถึง สมมุติว่าเราได้พบปะใครสักคน ที่สามารถกระทำ แสดงเรื่องราวเหล่านี้ให้ประจักษ์ แม้เรื่องราวของเวทนา เราจะรู้จัก ได้เห็นชัดเจนว่า มีบุคคลที่สามารถทำจิตให้เหนือกาย เหนือเวทนา สามารถรับมือ ต่อเวทนาที่เกิดในกาย ยกตัวอย่าง ครั้งหนึ่ง มีผู้ที่ผ่าตัดดามเหล็กข้างหลัง ผ่านไปแค่วันเดียว ก็ลุกขึ้นมานั่งฉันข้าวเป็นปกติ เลือดที่แผลผ่าตัดก็ยังมีซึมๆออกมาบ้าง ท่านนั่งฉันข้าวเหมือนคนปกติไม่เป็นอะไรเลย ที่เล่ามา เพื่อจะบอกว่า คนที่เค้าฝึกมาดี เค้าสามารถควบคุมกาย ควบคุมเวทนา ควบคุมอารมณ์ต่างๆได้ แล้วก็พูดคุยกันเหมือนปกติ เหมือนจิตนั้นเหนือคำว่าโลกไปแล้ว จิตที่อยู่เหนือคำว่าโลก อยู่กับโลกแต่ไม่หลงโลก เค้าทำยังไงกันบ้าง
การที่มาเขียนเรื่องราวทำนองนี้ มิใช่ไปเกี่ยวเนื่องเรื่องราวของอิทธิฤทธิ์ปฏิหาริย์ แต่เป็นเรื่องราวของการฝึกหัดปฏิบัติธรรม แล้ว จิตที่ฝึกมาดีแล้ว สามารถกระทำอะไรได้บ้าง
เรื่องอารมณ์ ความนึกคิด อะไรๆต่างมันพัวพันอยู่กับอารมณ์ พัวพันอยู่กับกายที่ประกอบด้วยดินน้ำลมไฟที่เป็นธาตุของกรรม คราวนี้ เมื่อธาตุดินน้ำลมไฟนั้น สูญสลาย มีอะไรบ้างที่มันดับสลายไม่มีให้จิตได้ใช้อีก นั้นก็คือเรื่องราวของวิญญาณหก ที่จิตดวงนั้นจะไม่มีให้ใช้ กายดับไป ไม่มีรูปให้ใช้ ขันธ์ห้าดับไปพร้อมกับกายมนุษย์ วิญญาณต่างๆหูตาจมูกบิ้นกายใจ ก็สูญไป เหลือแต่จิตที่ยังมีธาตุสี่เป็นธาตุที่กรรมอยู่ นำพาจิตไป เราเคยถามเพื่อทำความเข้าใจในเรื่องธาตุสี่ว่า จิตที่ออกจากกายมนุษย์ ที่เร่ร่อนไปมา นั้นมีธาตุสี่อยู่หรือไม่ พระที่นับถือ ท่านบอกว่ายังมีอยู่ แต่เป็นลักษณะคล้ายนามธรรม ถามต่อไปอีกว่า มีความรู้สึกหิวโหยอะไรมั่ย ท่านก็ตอบว่า เหมือนคนเรานี่แหละที่มีกาย แต่อาหารที่เค้าอยากได้ เมื่ออยู่ในสภาพนั้น ก็คือบุญ บุญที่เกิดจากการที่สร้างไว้ขณะมีชีวิตอยู่ หรือ มีผู้ทำบุญส่งไปให้ อุทิศให้
คราวนี้เรามาดูกันว่า ความเจ็บปวดกับการลืม เราไปดูคนที่เค้าเจ็บปวดทุกข์ทรมาน เวลาที่เค้าเจ็บปวดมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เวลาที่เจ็บปวดไม่หยุดไม่หย่อน เวลานั้นนึกคิดอะไรได้ มีสติหรือไม่ มีความจำอะไรปกติมั้ย ตรงนั้นแหละคือกรรม ก็เหมือนจิตที่ออกจากร่างที่พกพากรรมไปด้วย ก็จะมีสภาพคล้ายๆแบบนั้นเหมือนกัน
แต่ในโลกวิญญาณ สภาพที่จิตที่มีกรรมต้องรับ มันไม่มีโอกาสที่จะไปแก้ไขอะไรเลย เหมือนผู้ที่ที่ป่วยติดเตียง จดจำอะไรได้ ร่างกายก็ใช้กายไม่ได้ จิตที่มีกรรมมากมายก็ไปอยู่ในสภาพนั้นเหมือนกัน คือ ไปไหนไม่ได้เหมือนกับคนไม่มีเรี่ยวแรงอะไรเลย
ที่สุดแล้วความเจ็บปวดนั่นก็คือมายา ความจดจำก็คือมายา มีไว้ให้กับจิตที่ไม่เรียนรู้จัก ให้หลงยึดติดอยู่กับมายา พัวพันอยู่กับคำว่าอวิชชา ที่จิตไม่เรียนรู้จัก จิตของตนที่มาอาศัย มายึดติดในโลกมายา จึงต้องจมอยู่กับคำว่ากรรม ที่ตนไม่เพียรเรียนรู้ให้รู้จัก เพื่อจะหนีมายา ละทิ้งมายา เมื่อจิตอออกจากร่าง เรื่องราวต่างๆที่สะสมไปกับจิตที่มีธาตุสี่อยู่ด้วย นั้นแหละจะแผลงฤทธ์บันดาลให้ไปตามกรรม
โฆษณา