5 ม.ค. 2022 เวลา 05:36 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
การบำบัดด้วยการใช้สารไซคีเดลิก (Psychedelic Therapy) จะหลอมรวมพิธีกรรมของชาแมนตามความเชื่อชนพื้นเมืองจากโลกแห่งจิตวิญญาณ (Indigenous Shamanism) กับวิทยาศาสตร์จากโลกตะวันตก (Western Science) ไว้ด้วยกันได้อย่างไร
การบำบัดด้านสุขภาพจิตด้วยการใช้สารไซคีเดลิก (psychedelic-assisted psychotherapy) เป็นที่พูดถึงกันอย่างแพร่หลายว่าเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและเป็นวิทยาการความรู้ใหม่ในการรักษาด้านจิตเวชศาสตร์ (psychiatry) แต่ความเป็นจริงที่น่าตลก และเป็นเรื่องขบขันในผู้ที่อยู่วงการหรือศึกษาทางด้านนี้ก็คือ มีการใช้สารที่เปลี่ยนแปลงสภาพจิตใจเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตหรือยกระดับการรับรู้ให้ดีขึ้นมาเป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว และในขณะที่การใช้พืชสมุนไพรในพิธีกรรม เช่น อายาวัสก้า (ayahuasca) ในอเมริกาใต้ พิโยเต้ (peyote)
ในอเมริกาเหนือ และ อิโบก้า (iboga) ในแอฟริกา ซึ่งอาจจะดูเหมือนห่างไกลจากยอมรับของจิตแพทย์ นักวิจัยกำลังมองหาวัฒนธรรมจากชนพื้นเมืองเพิ่มมากขึ้นเพื่อเรียนรู้วิธีใช้สารไซคีเดลิกที่มีศักยภาพเหล่านี้ สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างโลกแห่งวิญญาณและโลกแห่งความเป็นจริงเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อวัตถุประสงค์ในการเข้าถึงประโยชน์ในการรักษา และอื่นๆอีกมากมาย
อย่างไรก็ตาม มีความพยายามในการประนีประนอมพบกันครึ่งทางระหว่างวิทยาศาสตร์สมัยใหม่จากโลกตะวันตกกับการแพทย์แผนโบราณจากโลกแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งทางด้านวัฒนธรรมมากพอสมควร ซึ่งนักวิจัยจากหลากหลายสาขาวิชากำลังพยายามแก้ไขปัญหาเหล่านี้อยู่
หลักการ Set and Setting -- อาจจะเป็นหนึ่งในความลับที่สำคัญในการเปิดประตูเพื่อทักทายและเชื่อมต่อโลกทั้งสองใบให้ได้เจอกัน
นักมานุษยวิทยาที่ศึกษาการใช้พืชที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทที่อยู่ในพิธีกรรมมักจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับวิธีการและบทบาทที่สำคัญต่างๆในพิธีกรรม ซึ่งหมอผีหรือชาแมนชักนำผู้เข้าร่วมในพิธีให้เข้าสู่ "สภาวะจิตสำนึกที่ได้รับการจัดการ (managed altered states of consciousness)" ผ่านการใช้พิธีกรรม เสียง และองค์ประกอบทางสุนทรียะอื่นๆ มาดัดแปลงตามพิธีกรรม โดยแพทย์แผนโบราณหรือชาแมนผู้ชำนาญการเหล่านี้สามารถบังคับการมองเห็นหรือวิสัยทัศน์ และภาพที่จะเกิดขึ้นกับผู้เข้าร่วมพิธีกรรมไปในทิศทางที่ต้องการได้ ซึ่งนี้จะเป็นการบอกถึงข้อแตกต่างอย่างเป็นนัยว่าแม้กระทั่ง "ทริปซิสเตอร์" ที่เชี่ยวชาญ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือบุคคลอื่นๆ อาจจะไม่สามารถดำเนินการในรูปแบบที่ได้กล่าวมาเช่นนี้ได้
เทคนิคหรือวิธีการดังกล่าวมักใช้โดยหมอพื้นบ้านที่ Takiwasi Center ในเปรู ซึ่งเป็นศูนย์การรักษา และวิจัยชั้นนำระดับโลกที่รวมยาแผนโบราณของชนพื้นเมืองอะเมซอน กับจิตบำบัดแบบตะวันตกไว้ ดร. Matteo Politi ผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์ของโครงการกล่าวกับ IFLScience (สำนักข่าวที่สัมภาษณ์) ว่า "นักวิจัยชาวตะวันตกส่วนใหญ่ที่มาที่อะเมซอน และเฝ้าสังเกตการณ์ในพิธีกรรมอายาวัสก้า (ayahuasca ceremony) อาจจะมองว่าพิธีกรรมนี้ไม่เพียงพอต่อข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์ (ไม่มีค่าพอที่จะเอามาหาความเป็นเหตุเป็นผล ในสำนวนนี้เขาพูดถึงคือ "ดูไม่เป็นเหตุเป็นผลเอาซะเลย") และไม่นับเป็นตัวแปรที่สำคัญ (significant variable)
แต่พวกเราหลายคนในสาขา เภสัชศาสตร์ชาติพันธุ์ (ethnopharmacology) เป็นการศึกษาที่เกี่ยวข้องกันกับแพทยศาสตร์ชาติพันธุ์ เภสัชศาสตร์ชาติพันธุ์นั้นศึกษาการใช้สารประกอบจากพืชต่าง ๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกันกับพืชสมุนไพรรักษาโรค (medicinal plant) และ พืชที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท (ethnobotany) ซึ่งนำไปสู่การค้นพบยาต่าง ๆ การศึกษาเหล่านี้เน้นหนักไปที่การแพทย์พื้นบ้าน แต่ก็พบว่ามีประโยชน์อย่างมากจ่อการผลิตยาแผนปัจจุบันในอุตสาหกรรมยา ถือว่าพิธีกรรมไม่เพียงแต่จะมีความสำคัญเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นฐานอย่างยิ่งต่อผลลัพธ์ของการรักษาที่จะนำไปใช้ในอนาคตได้”
การศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ของโลกฝั่งตะวันตกที่เข้าร่วมการบำบัดสุขภาพจิตที่คล้ายกันซึ่งดำเนินการโดยหมอพื้นบ้านหรือชาแมนที่ใช้อายาวัสก้า (ayahuasca) พบว่า 36 เปอร์เซ็นต์ให้คะแนนการกระทำของหมอพื้นบ้านหรือชาแมนเหล่านี้เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียวในการปรับปรุงคุณภาพชีวิต หรือจิตใจของพวกเขา และในขณะที่จิตแพทย์ทั่วไปอาจไม่ได้ชื่นชมหรือให้การยอมรับในพิธีกรรมของชาแมนอย่างเต็มที่สักเท่าไหร่ แต่ก็มีการตกลงกันอย่างกว้างขวางว่าประสบการณ์ด้านไซคีเดลิกนั้นเป็นผลที่เกิดขึ้นมากกว่าแค่เภสัชวิทยา มันมีอะไรที่ลึกลับกว่านั้นซ่อนอยู่
ย้อนกลับไปในปีค.ศ.1960 ทิมโมที แลรี (Timothy Leary) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ผันตัวมาเป็นผู้ศึกษาเกี่ยวกับ LSD ได้ช่วยเผยแพร่แนวคิดเรื่อง "Set and Setting" ซึ่งถือได้ว่าผลกระทบของสารไซคีเดลิกส่วนใหญ่ถูกกำหนดโดยความคิดของผู้ใช้ตลอดจนสภาพแวดล้อมที่เราต้องการที่จะไปมากกว่าคุณสมบัติของสารเองเสียอีก มันเหมือนกับการเพิ่มเนื้อบางส่วนลงในกระดูก (add some meat to the bone) ซึ่งเป็นสำนวนที่หมายถึง กลยุทธ์ที่ช่วยให้เราระบุถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ผู้อื่นรู้สึกมีแรงจูงใจในแง่ของความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
ซึ่งจากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในปีค.ศ. 2018 สรุปว่า สารไซคีเดลิกทำให้ผู้คนเปิดรับสิ่งเร้าจากสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความสามารถในการเพิ่มความยืดหยุ่นของสมองหรือนิวโรพลาสติกซิตี (ability to increase neuroplasticity) คือการที่สมองสามารถฟื้นตัว และปรับโครงสร้างตัวเองได้หลังจากอาการบาดเจ็บ หรือการเสื่อมถอยตามอายุพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือจะเป็นความหวังเล็กๆว่าเราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นได้ ด้วยบางสิ่งบางอย่างที่เราใช้เข้าไปนั้นเอง
ด้วยเหตุนี้ Set and Setting จึงถูกรวมเข้ากับการทดลองทางด้านการใช้สารไซคีเดลิกล่าสุด โดยทั่วไปทำได้โดยการจัดการสภาพแวดล้อมการรักษาด้วยการใช้แสงอันน้อยนิด และการจัดรายการเพลง (music playlist) ที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี องค์ประกอบสุดท้ายนี้ถือว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากการวิจัยพบว่าดนตรีช่วยขยายขีดความสามารถของการใช้สารไซคีเดลิกเพื่อส่งเสริมกิจกรรมภายในส่วนต่างๆ ของสมองที่ประมวลผลอารมณ์ได้
"การรับรู้ถึงความสำคัญของ Set and Setting เป็นสะพานเชื่อมระหว่างการรักษาแผนโบราณกับการรักษาแผนปัจจุบัน" Politi กล่าว “อย่างไรก็ตาม หากเราต้องการพัฒนาหลักการนี้ในบริบทสมัยใหม่ เราต้องเรียนรู้จากวัฒนธรรมที่ใช้พืชเหล่านี้มานานหลายศตวรรษ จากองค์ความรู้และวิทยาการเดิมเสียก่อน”
ภาวะจิตสานึกร่วม (communitas) -- ความเท่าเทียมกันของจิตวิญญาณในระดับสังคม เป็นกาวประสานที่ดีที่สุดที่จะเชื่อมต่อโลกทั้งสองใบไวได้
ช่วง ภาวะจิตสานึกร่วม (Communitas) คือ เวลาที่ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ต่างกัน และไม่มีโครงสร้างทางสังคม เป็นช่วงที่ทำให้ระเบียบกฎเกณฑ์ทางสังคมสมบูรณ์มากขึ้น
Temple of The Way of Light ตั้งอยู่ในแถบแอมะซอน ในประเทศเปรู คือ สถานที่พักผ่อน และเป็นสถานที่สำหรับประกอบพิธีกรรมอายาวัสก้า (ayahuasca) ซึ่งนักวิจัยจาก Imperial College London กำลังศึกษาประสิทธิภาพของเทคนิคการรักษาแบบดั้งเดิมในด้านรักษาหรือบำบัดสุขภาพจิต นักวิจัย Adam Aronovich ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษากล่าวกับ IFLScience ว่า “เมื่อเราสัมภาษณ์ผู้คนเกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนใดที่ส่งผลกระทบมากที่สุดต่อพวกเขา ไม่ใช่ทุกคนที่พูดถึงอายาวัสก้า (ayahuasca) ทันที ผู้คนจำนวนมากให้ความสำคัญกับการเล่าเรื่องในด้านสังคม และการอยู่ร่วมกัน ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้อิทธิพลของภาวะจิตสานึกร่วม (under the umbrella of communitas)”
ซึ่ง ภาวะจิตสานึกร่วม (communitas) คำศัพท์ทางมานุษยวิทยาอีกคำหนึ่ง ที่หมายถึง ความรู้สึกของส่วนรวมมากกว่าอัตลักษณ์ส่วนบุคคล โดยที่สมาชิกของกลุ่มได้มาเจอกันและมาเป็นหนึ่งเดียวกัน กล่าวกันว่าเกิดขึ้นบ่อยครั้งในพิธีกรรมร่วมกันระหว่างที่โครงสร้างทางสังคม และความสัมพันธ์ถูกยกขึ้น เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถผูกมัดอย่างเท่าเทียมกัน แม้ว่าการใช้สารไซคีเดลิกจะดูไม่ค่อนน่าจะเกี่ยวข้องกันสักเท่าไหร่ แต่จากการศึกษาพบว่าสารเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเห็นอกเห็นใจทางอารมณ์ และยับยั้งกิจกรรมในส่วนต่าง ๆ ของสมองที่ประมวลผลการปฏิเสธทางสังคม ซึ่งหมายความว่าอาจใช้เพื่อเพิ่มประสบการณ์ของการแบ่งปันร่วมกันได้
ในกรณีนี้สังคมที่เกิดขึ้นจากการทำพิธีกรรมอายาวัสก้า (ayahuasca) ที่หนักหน่วง และบางครั้งก็สุดแสนจะทรมานร่วมกัน แทนที่เกิดขึ้นแบบนี้ทีละคน แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย สิ่งเหล่านี้จึงเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการทั้งหมด แต่ Aronovich กล่าวว่า "สำหรับคนส่วนใหญ่ ลักษณะของกลุ่ม และความรู้สึกของภาวะจิตสานึกร่วมเป็นปัจจัยหลักในการรักษา" ในทำนองเดียวกัน การศึกษาทั่วโลกของผู้ที่เคยใช้สารไซคีเดลิกในการจัดกลุ่มพบว่า “ภาวะจิตสานึกร่วมระหว่างพิธีมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับความผาสุกทางจิตใจ ความเชื่อมโยงทางสังคม และผลลัพธ์ด้านสุขภาพจิตที่สำคัญอื่นๆ”
ที่น่าสนใจคือ ผลการศึกษาล่าสุดอีกชิ้นหนึ่งสรุปได้ว่าคนที่สนุกสนาน และเต้นรำร่วมกันในงานปาร์ตี้หลุดโลกมักจะมีการรายงานถึงสภาพจิตใจที่ดีขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าผลประโยชน์ของภาวะจิตสานึกร่วม (communitas) สามารถสัมผัสได้นอกเหนือจากสภาพแวดล้อมแบบเดิมๆ
อย่างไรก็ตาม การวิจัยทางคลินิกทั้งหมดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของสารไซคีเดลิกในการรักษาความผิดปกติทางจิตได้มองข้ามแง่มุมนี้ไป โดยมุ่งเน้นที่การรักษาเป็นรายบุคคลมากกว่าการรักษาแบบกลุ่มผ่านกลุ่มต่างๆ ในที่นี้ถือเป็นความขัดแย้งในกระบวนทัศน์ที่สำคัญระหว่างจิตเวชศาสตร์สมัยใหม่กับความเชื่อจากชาแมนพื้นเมือง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเชื่อมต่อระหว่างกันของโลกทั้งสองใบนี้
ความขัดแย้งในมุมของโลกทัศน์ -- ปัญหาที่รอการแก้ไข เพื่อนำไปสู่การยอมรับซึ่งกันและกันในโลกทั้งสองใบ
"สิ่งที่ฝังแน่นมากในมุมมองของชนเผ่าในแถบอะเมซอน คือ ความเข้าใจในนิเวศวิทยาเชิงสังคมของการพึ่งพาอาศัยกัน" Aronovich อธิบาย “ในประเพณีของชนพื้นเมือง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นบุคคลในลักษณะเดียวกับที่เรามองข้ามไปในทางตะวันตก เราทุกคนเป็นเพียงโหนดในเครือข่าย (nodes in a network) ของความสัมพันธ์ที่พึ่งพาอาศัยกัน ในการมองเห็นสิ่งต่าง ๆร่วมกัน”
สำหรับพวกเราที่ได้รับการเลี้ยงดูให้เป็นมีมุมมองและเติบโตมาในโลกของวัตถุนิยมเป็นหลัก (firm materialists) มุมมองดังกล่าวอาจเข้าใจยาก นับประสาอะไรกับการที่จะยอมรับสิ่งที่แปลกใหม่พวกเราถูกกำหนดให้มองโลกว่าเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่แยกจากกัน และเป็นอิสระต่อกัน ซึ่งสามารถแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน ในขณะที่วัฒนธรรมของชนพื้นเมืองจำนวนมากมองว่าจักรวาลและธรรมชาติเป็นระบบจิตสำนึกที่เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างถูกเชื่อมโยงกันไว้เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่มากเกินกว่าจะพรรรณนาได้
ในมุมมองนี้ ปัญหาด้านสุขภาพจิตไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของเคมีในสมอง หรือความผิดปกติทางจิตส่วนบุคคล แต่เป็นอาการของความคลาดเคลื่อนในภาพรวมทั้งหมด การรักษาจึงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นร่วมกัน และทำได้โดยการฟื้นฟูความรู้สึกเชื่อมโยงของผู้เข้ารับการบำบัด กับชุมชน และสภาพแวดล้อมที่กว้างขึ้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การเชื่อมต่อ คือการรักษา และชุมชนจึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางจิตเวชในการรักษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีอยู่ในวัฒนธรรมเหล่านี้ ในขณะเดียวกันสถานประกอบการทางวิทยาศาสตร์ของโลกตะวันตกกำลังให้ความสนใจกับความผิดปกติหรือความเสียหายทางด้านร่างกาย และจิตใจมากขึ้น แต่ก็หยุดไม่ได้ที่จะไม่ตระหนักว่า ความเจ็บป่วยทางจิตใจเป็นอาการของการขาดการเชื่อมต่อที่มีอยู่ในโลกทัศน์สมัยใหม่ของเรา
ด้วยเหตุนี้ แพทย์แผนปัจจุบันจึงไม่ได้กำหนดพิธีกรรมร่วมกันให้กับผู้ป่วยที่เป็นอยู่ในภาวะซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล หรือความเจ็บป่วยทางจิตอื่นๆไว้ด้วยด้วยการรักษา ตามที่ Aronovich อธิบาย “ในวัฒนธรรมการแพทย์จากโลกตะวันตกของเรา ปัญหาเหล่านี้ได้รับการปรับให้เป็นรายบุคคลอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นหากคุณเป็นโรคซึมเศร้า ให้กินยา และหวังว่าคุณจะดีขึ้นก็แค่นั้น”
การนำเสนอความท้าทายทางด้านมานุษยวิทยาที่เป็นศูนย์กลางของการผสมผสานทางวัฒนธรรมนี้ Politi ได้อธิบายว่า "พวกเราในโลกตะวันตกต้องเข้าใจว่ายาของเราเป็นหนึ่งในกลุ่มของเวชศาสตร์ชาติพันธุ์ (ethnomedicine) เนื่องจากมันสะท้อนให้เห็นถึงโลกทัศน์ทางวัฒนธรรมของเรา ไม่มีคำจำกัดความที่เป็นรูปธรรมอย่างเป็นทางการ เราแค่คิดว่าตัวเราแข็งแรง หรือไม่สบายขึ้นอยู่กับมุมมองทางวัฒนธรรมของเรา” ดังนั้น แม้ว่าเราอาจจำกัดความคิดเรื่องสุขภาพให้เหลือเพียงการไม่มีอาการทางร่างกาย หรือจิตใจภายในบุคคลที่อยู่โดดเดี่ยว วัฒนธรรมอื่นๆ อาจคำนึงถึงความเชื่อมโยงทางสังคม และสิ่งแวดล้อมก่อนทำการวินิจฉัยโรคนั้นๆได้
การข้ามพ้นความแตกแยก -- จะเป็นสะพานที่มั่นคงในการเชื่อมต่อโลกทั้งสองใบไว้เพื่อเป็นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปด้วยกัน
แม้ว่างานวิจัยเกี่ยวกับสารไซคีเดลิกส่วนใหญ่ยังคงเน้นที่ไปที่ด้านเภสัชวิทยา (pharmacology) แต่การศึกษาจำนวนหนึ่งเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของปัจจัยตามบริบท ตัวอย่างเช่น การศึกษาของ Imperial College ซึ่งจัดขึ้นที่วิหารแห่งวิถีแห่งแสง (Temple of the Way of Light) นั้นพยายามที่จะหาปริมาณการมีส่วนร่วมของชุมชนที่มีต่อผลลัพธ์ทางคลินิก ดังนั้นจึงช่วยเชื่อมช่องว่างเล็กน้อยระหว่างสองโลกทัศน์ที่ดูเหมือนเป็นปฏิปักษ์อยู่นิดหน่อย
ในเวลาเดียวกัน Aronovich ยืนยันว่ามีความถูกต้องในทั้งสองวิธี และจิตบำบัดด้วยความช่วยเหลือด้วยการใช้สารไซคีเดลิก ควรได้รับการดัดแปลงเพื่อให้เข้ากันได้กับวัฒนธรรมที่แตกต่าง “เราไม่ได้เป็นแค่เป็นผู้เสนอทั้งการออกแบบทางคลินิก แต่ยังรวมถึงองค์ประกอบของกลุ่มพิธีกรรมด้วย” เขากล่าว “เราคิดว่าทั้งคู่มีความสำคัญ และทั้งคู่มีฟังก์ชั่นหรือบทบาทหน้าที่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว”
และในขณะที่เขาบอกว่าเราต้องเรียนรู้สิ่งที่เราสามารถทำได้จากวิธีการดั้งเดิมของการใช้สารไซคีเดลิก
แต่เขาตระหนักดีว่า "การกำหนดโลกทัศน์ใหม่ให้กับผู้คนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยืดเยื้อและใช้เวลานานเกินความจำเป็น" แทนที่จะสร้างระเบียบวิธีการบำบัดรักษาตามหลักปรัชญาที่ว่า “คนส่วนใหญ่ทางโลกตะวันตกจะมักจะยอมรับและแยกแยะกับเรื่องอะไรต่างๆเหล่านี้ได้ยาก (จากสำนวน the majority of people in the West are going to find difficult to digest) ” ดังนั้นเขาจึงยืนยันว่าเราควร “ปรับหลักการเหล่านี้เพื่อสร้างสิ่งที่สมเหตุสมผลเพียงพอ”
วิธีการดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับการจัดสรรวัฒนธรรมของการปฏิบัติจากรูปแบบของชนพื้นเมือง แต่ยังเหลือที่ว่างสำหรับการนำองค์ประกอบพื้นฐานที่มีความสำคัญมาใช้ เช่น การนั่งรอบกองไฟ และแบ่งปันความรู้สึกกับคนกลุ่มหนึ่ง ฟังดูง่าย แต่นี้อาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาด้วยการใช้สารไซคีเดลิกได้เลยทีเดียว
---โลกทั้งสองใบจะได้กลับมาเจอกัน และเราจะได้เจอกันแน่นอน---
อ้างอิง
Benjamin Taub, How Psychedelic Therapy Fuses Indigenous Shamanism With Western Science, 03 JAN 2022
โฆษณา