5 ม.ค. 2022 เวลา 07:21 • ความคิดเห็น
เรื่องราวของการอารมณ์ เวลาที่เรามีความรู้สึกสูญเสียอะไรไป เช่นสิ่งที่เรารัก เคย รัก เคยชอบมันจากหายไป อารมณ์โศกอารมณ์เศร้ามันก็ลุกขึ้นมาทับถมจิต เหมือนอย่างบางกรณี สามีภรรยา เกิดสามีจากไปก่อน เวลาวนนำศพรอบเมรุ ก็ร้องไห้เป็นเวร ร้องน่าเวทนาสงสารในการจากไปของสามี แต่เวลาผ่านไปไม่ทันไร ก็มีคนรักใหม่ มีแฟนใหม่ไปเสียแล้ว เรื่องนี้ไปคุยกับพระที่นับถือ ท่านบอกว่าที่จริงข้างในมันดีใจ แกจากๆฉันไปก็ดี ฉันจะได้หาผัวใหม่เสียที ข้างในมันเบื่อเต็มทีแล้ว เรื่องราวทำนองนี้มันก็มี
กลับมาเรื่องที่เราเรียกว่าซึมเศร้า เราก็ลองทบทวน เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของเรา มีอะไรบ้าง ในการใช้ชีวิต ที่เราใช้กายใช้ตาหูไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น นึกไปชอบสิ่งนั้น สิ่งนี้ อยากฟังเสียงอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างที่เราชอบ ที่เราควาดหวัง ที่ไอ้สิ่งที่มันเกิด เกิดจากใจของเรา มันยึดมันมีทิฐิมีความหลงใหล กดจิตกดใจของเราไว้ เหมือนใจมันหนัก สมองก็มึนงง คิดอะไรมีค่อยออกๆ ยิ่งมาเจอะเจอเรื่องราวที่ไปกระทบสิ่งที่มันกดทับด้วยสิ่งที่เรายึดอยู่ เกิดเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่เรานึกคิด เหมือนเราซื้อลอตเตอรี่มาใบหนึ่ง ก่อนหวยออก ก็นั่งวาดวิมานฝัน จิตนาการ แหม..ถูกรางวัลที่หนึ่ง จะมีไอ้นั้นไอ้นี้ มีเรื่องราวมากมาก เป็นสุขอุปโลกน์ในความฝันก่อนหวยออก พอถึงวันหวยออก ไม่มีเลขตังกันเลยสักตัว พองงวดใหม่ เราก็ซื้อหวยอีก มันก็ไม่ถูกอีก เราก็ยังซื้อต่อไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ถูกสักที่ ไม่สมหวังสักที
คราวนี้ เรื่องราวในชีวิตของเรา การที่เราพบเจอะเจอ เรื่องราวต่างๆนาๆ ที่เราประสบเข้ามาในชีวิต มันก็ล้วนมีเรื่องราวของความผิดหวัง สมหวัง ได้ดังใจไม่ได้ดังใจเกิดขึ้น มันก็เปฟันเรื่องปกติของที่เข้าใจ ชีวิตว่ามันเกิดมามันก็ต้องประสบเรื่องราวเหล่านี้ เหมือนตอนเราเป็นเด็กหัดเดินหัดคลาน เมื่อเริ่มหัดคลาน หัดเดิน มันก็ต้องมีการหกล้ม เจ็บเนื้อเจ็บตัวบ้าง ใหม่ๆพอล้มมันเจ็บ เด็กก็ร้อง พอกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น หกล้มบางก็พอทนได้ ก็พยายามทำไปจนคลานได้เดินได้ นี่เป็นเรื่องของร่างกาย
คราวนี้เรามาดูเรื่องราวของอารมณ์ อารมณ์ที่อยู่กับกายเราที่จิตเราอาศัยอยู่ เราเองเคยเรียนรู้จักอารมณ์บ้างมั้ย เด็กที่ไร้เดียงสา เค้าไม่มีเรื่องคิด เรื่องราวการยึดถืออะไรมากมาย เค้าสดใสในวัยของเค้า แต่พอเริ่มโตขึ้น ก็เริ่มเรียนรู้ว่า จะพูดอะไรบอกกล่าว ให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ตามที่ตนเองอยากได้ ก็มีพัฒนาเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ไปพบไปเห็นอะไรมากมาย แวดล้อมตัวเค้า เค้าเรียกว่าอารมณ์ของโลก เข้ามา เด็กก็เริ่มโกหกเป็น เริ่มที่หลอกขึ้นให้ได้สิ่งที่ตัวเอง แต่เด็กบางคนก็ยังใส ไม่มีเรื่องราวเหล่านี้
ที่พูดเรื่องราวเหล่านี้มา ก็เพื่อดึงให้รู้จักว่าชีวิตของคนเรา มันเจอะเจอเรื่องราวต่างๆมากมาย เจอเรื่องที่ได้สมหวังไม่สมหวัง สะสมไปเรื่อง มันก็หงุดหงิด ค้างคาปลงไม่ตก คือ ไม่สามารถทำความความใจ เรื่องราวของชีวิต
เรื่องราวของทุกข์ความโศกเศร้าที่จะเกิดขึ้น ภายในกายนี้ เมื่อมันเกิดขึ้น ไม่รู้ปรึกษาใคร ก็เหมือนไม่มีที่ระบานทุกข์ออกไป ทุกข์ที่มันติดอยู่กับกายเป็นอารมณ์ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก (ที่จริงก็สิ่งที่อยู่กับแม่ทั้งสี่ที่เราอาศัย) พอรู้สักไม่สบายใจก็ไปหาของมีนเมามาทับถมจิตอีก มันก็ยิ่งทุกข์มากขึ้น ของที่หนักอยู่ภายในก็เอาออกไม่ได้ กายก็หนัก จิตก็เหมือนหนัก แบกของหนัก ไม่มีเรื่องราว เหมือนคนแบกของหนักมานาน คนแบกของหนักนาน มันก็ทับลงไปๆ เหมือนคนไม่มีแรงเดินไปไหน แต่นี่อารมณ์ทับจิต มันทับไปทั้งกายทั้งจิต สมองมึนงง วกวน คิดอะไรไม่ออก มึนเมา คิดวนไปวนมาอยู่นั้น มันไม่เมา ไม่ซึมก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว จิตอาศัยเรือนกายนี้ จึงต้องผจญอารมณ์ภายใน เหมือนกับพายุหมุนวนไม่รู้จักจบ เสียงคลื่นเสียงลมมาไปหยุดหย่อน หากทางพยุงเรือเรือจิตนั้นออกจากพายุไม่ได้
ที่เขียนมา ก็เพราะเคยมีหลายสาว โทรมา ร้องห่มร้องไห้ เราก็คุยด้วย ปล่อยให้เค้าระบายอารมณ์ ได้พูด เราก็พยายามเตือนสติ จูงจิตเค้าให้นึกถึงเรื่องราวบุญกุศล คุยไปจนเค้าหัวเราะได้ เค้าบอกว่า หมอเรียก ..เราถามว่าหมออะไร เค้าบอกจิตแพทย์ ..ความบังเอิญ มันเกิด..อยู่..เหมือนหลานโทรกลับ เหมือนมือเค้าไปโดนเอง เราก็เลยได้ฟังน้ำเสียงของหมอ คำพูดของหมอ ตั้งแต่ต้นจนจบ พอเค้าออกมาจากหมอ เราก็กดโทรศัพท์ทิ้ง โทรเข้าไปใหม่ บอกหลานว่าได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ยาที่หมอให้อย่ากิน แกมันแค่อารมณ์ของแกเอง มันสะสมมามาก กลับบ้านไปก็สวดมนต์ไหว้พระ ทำใจให้ปกติ แล้วรุ่งขึ้นก็ไปทำบุญใส่บาตรซะ แล้วหลานเรามันก็หายเป็นปกติ อารมณ์นั่นมันก็หายไป
เรื่องที่น่า สำหรับที่ผิดหวัง รู้อะไรไม่ได้ดังใจ ไม่สบาย หงุดหงิด ไปปรึกษาพวกหมอดู หมอที่มีผีพรายเลี้ยงไว้ เป็นพรายกระซิบ ที่คนสมัยนี้ ไม่ค่อยรู้จักกันแล้ว แต่มันมีมากมาเกลื่อนกราดไปหมด พอเข้าไปปรึกษาพวกนี้ ก็เหมือนไปให้เค้ากระทืบ ให้มันทุกข์ขึ้นไปอีก แล้วมันก็ต้องซึมเศร้าน่ะซิ เพราไปเค้ากระทืบมา ยิ่งฟุ้งซ่านขึ้นเป็นทวีคูณ วันพระวันโกนก็ยิ่งฟุ้ง นอนไม่ค่อยหลับ หรือ บางที่ก็ตื่นตีสองตีสาม นอนไมหลับ จะไปหลับก็ตอนใกล้สว่างทำนองนี้
เรื่องราวอารมณ์ที่เราผิดหวังบ้างไม่สมหวังบ้างมันเป็นเรื่องปกติ เมื่อไม่สมหวังผิดหวัง ก็ต้องปล่อยมันทิ้งไป เริ่มต้นใหม่เหมือนเด็กหัดคลานหัดเดิน เพื่อให้จิตใจของเรา มันมีสติเข้มแข็งปลดปล่อยอารมณ์ที่กดจิตเรา จมอยู่กับความทุกข์ความโศก บางครั้งเราก็เชื่ออารมณ์ที ยุยส่งเสริมภายในตัวตน อุปโลกน์เชื่อว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หมดเรียวแรง ไม่ฝืนอารมณ์ ขยับเขยื้อนกายให้เคลื่อนที่ไป ผ่อนคลายอารมณ์ ออกกำลัง ให้อารมณ์ภายในจางคลายออกไป ทำไปเพื่อให้สติและจิตของเรามันมีกำลังขึ้น ละทิ้งอารมณ์ไม่ดีสิ่งเรายึดไว้ภายในโดยไม่รู้ตัวนั้นออกไป นั้นเป็นเรื่องที่เราจะต้องรู้จักกายของเรา อารมณ์ภายในของเราเอง คนที่บอกที่เตือนเค้าอยู่นอกกายนอกจิตของเรา เราเองต้องเป็นผู้ที่ลุกขึ้นมา ต่อสู้ ฝืนอารมณ์สลัดอารมณ์ที่กดจิตของเรานั้นทิ้งไป
เรื่องราวของอารมณ์ซึมเศร้า มันเรื่องราวความทุกข์ ทุกข์ขังจิตขังใจทั้งนั้น ผู้เป็นชาวพุทธ รู้จักผ่อนคลายทุกข์ ก็ไปสร้างบุญกุศล ทำบุญใส่บาตร (ต้องทำให้เป็นด้วยนะ ไม่ใช่ทำเรียกร้องหาทุกข์ เพิ่มขึ้นเพิ่มพูนทุกข์เพิ่มขึ้น คือ ไปเอาเครื่องรางของขลังตุ๊กตามาบูชา นั่นคือกรรมที่จะทับถมจิต) ทำบุญถวายกับผ้าเหลืองกับเครื่องหมายศาสนา เครืองหมายของธรรม ก็พอแล้ว อย่าไปยึดที่ตัวบุคคล เพราะไม่รู้ว่าผู้ที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ปฏิบัติอย่างไร เอาที่ผ้าเหลือง เค้าครองมาให้เราสร้างบุญก็พอแล้ว
ในบางเรื่องราวที่เราไม่รู้ เราคิดว่าดี เช่น เวลาปีใหม่สวดมนต์ข้ามปี เค้าก็สายสิญจน์แขวน มีสายสิญจน์โยงลงมา คนก็ไปเหนี่ยวรั้งวางบนหัวบ้าง เอามาถือบ้าง เรารู้ได้อย่างไรว่ามันจะดี เกจิอาจารย์ที่ท่องบ่นคาถาอาคมก็มา คนมีกรรมมากกรรมน้อย ก็มา พวกมีองค์อะไรทั้งหลายก็มา มันมีอะไรรวมหลายอย่าง เราก็ยึดมาไม่รู้ตัว แล้วก็ไม่เคยสังเกตว่า หลังจากไปร่วมกับเค้ามา อารมณ์นึกคิดเราไปอย่างไร ฟุ้งซ่านมากขึ้นมั้ย หงุดหงิดมากขึ้นมั้ย กลับมาคุยกับคนรอบข้างปกติมั้ย หรือว่าคุยกันไม่กี่คำก็หงุดหงิดผิดปกติ เคยสังเกตมั้ย แม้แต่การไปดูดวงอะไรก็เหมือนกัน เรื่องดูหมอผู้หญิงมักเชื่อง่าย จิตมันอ่อนนี่น่ะ ของไม่ดีมันก็เข้ามาได้ ยิ่งเปิดจิตเปิดใจ มันก็หลง อารมณ์ก็แปรปรวน เรื่องพวกนี้ บอกใครไม่ได้ ทำนอง โฆษณาว่า ไม่เชื่ออย่าหลบลู่ มันไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องพิจารณาด้วยเหตุผล อย่าไปเชื่ออะไรทั้งนั้น ไม่มีใครเค้ารู้จริงในโลกนี้
ตัวอย่างน้องคนหนึ่งที่มีอาการที่เรียกว่าซึมเศร้า มีการเปลี่ยนแปลง https://www.blockdit.com/posts/61c1ddc0e02f8bf9e80fc46a
มีอีกเรื่องหนึ่งที่ เห็นฝ่ายแม่ เช้าตื่นมาก็ไม่ทำอะไร รีบจัดแจงเรื่องเช่น ใส่ถาดเป็นถาด ถวายเทพอองค์นั่นองค์นี้ กว่าเรียบร้อยก็นาน ทำอย่างนี้ทุกวัน เหมือนเรียกผี เข้ามาอยู่ในบ้าน พอใครถามก็บอกว่าบูชาเทพ เทพอะไรของเค้าก็ไม่รู้ บ้านช่องเลอะเทอะไปหมด ที่สุดลูกสาว ก็ต้องกินยา ซึมเศร้า แม่ก็กิน กินทั่งแม่ทั้งลูก จะไม่กินได้อย่างไร ก็แกไปเอาผีมาเลี้ยง อยู่กับผีมันก็เป็นอย่างนี้แหละ เรื่องพวกนี้ คนสมัยก่อนเค้า ก็ไม่ได้เอาอะไรอย่างอื่นมาบูชา เค้ามีแต่รูปพระพุทธเท่านั้น
เดี๋ยวนี้ มันมากมาย ทั้งตะกรุดผ้ายันต์ของขลังอะไรต่างๆ พอใครบอกว่า มีตุ๊กตาอันศักดิ์สิทธิ์อะไรศักดิ์สิทธิ์ต่างๆนานา ก็เอามายึด มันก็เลยมีโรคที่มองไม่เห็นตามมา ภายในบ้านก็คือกันไม่ค่อยถูกคอ ไม่เข้าหูกัน อารมณ์ก็หงุดหงิด ทะเละกันง่าย นอนไม่หลับ ปวดหัวอ่อนแรง ก็พวกนี้มันเป็นมนต์ดำติดมาของไม่ดี มันก็เป็นอย่างนี้และ พอมีเรื่องวิตก กลุ้มใจอะไร มันก็เข้าส่งเสริมเป็นทวีๆ คูณให้มากขึ้น มันก็เลยเกิดความเครียดสะสมมากขึ้น ส่วนหนึ่งก็มาจากสิ่งเหล่านี้ ที่เขียนมาก อย่าเชื่อ แต่ก็ไปสังเกตว่าเป็นอย่างนี้มั้ย ถ้าเราสะสมของพวกนี้ไว้ ก็เอาไปลงคลองแม่น้ำ ทำบุญใส่บาตรไปด้วย ก็จะดีขึ้น เอาแค่ทำทานทำบุญ
สิ่งที่เราไปเสาะแสวงหาหามา ให้สิ่งที่มองไม่เห็นมาสู่กายของเรา ให้เรื่องราวการรับรู้มันเกิดวิปริต สติของเรา ควบคุมกาย อารมณ์ของเราไม่ปกติมากยิ่งขึ้น โดยที่เราไม่ทันสังเกตตัวเราเองเลย เมื่อสิ่งเหล่านี้ มาสู่กายเราที่จิตอาศัย กิริยาคำพูดจาจะเปลี่ยนแปลงไป ไม่ค่อยเกรงกลัวใคร ว่าหยาบกระด้าง https://www.blockdit.com/posts/61590edb3d4d760c9a0a6d87 เป็นเรื่องราวที่เราไม่ควร ไปเกี่ยวข้อง เพราะมันจะทำลายทั้งตัวเรา และคนที่เรารัก
แล้วเรื่องการทำบุญ..ทำให้เป็น ทำแบบตั้งใจทำ ไม่ใช่ทำแบบเหวี่ยงทิ้งปัจจัยที่เราหามา แล้วก็อย่าไปทำบุญแบบสังฆทานเวียน นั้นมันของเด็กเล่นปาหิ ไม่ได้เกิดบุญทานอะไรขึ้นมาเลย ไปทำแบบนั้น บางที่ก็แทนที่จะเป็นบุญ กลับกลายเป็นกรรม ไปเสียเพราะของสิ่งเดียวกัน ขอนั้นคนนี้ก็มาจับ อธิษฐานทำอะไรบ้างก็ไม่รู้ มันจึงเหมือนเด็กเล่นขายของ ผีมันหํวเราะเยาะเอา ดูมนุษย์จะทำบุญทั้งที
โฆษณา