Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ซ
ซิดหยุ่น 83
•
ติดตาม
5 ม.ค. 2022 เวลา 09:01 • ปรัชญา
"...ก้อนเนื้อ ก้อนนี้ คือ วิบากในภพชาตินี้"
เมื่อคลอดออดมาจากท้องแม่
หมอก็จะตบก้น เพื่อกระตุ้นให้ประสาทไขสันหลังให้สะเทือนไปจนถึงก้านสมองของเด็ก และเข้าสู่สมองของเด็กให้สั่นสะเทือนรับรู้ทั้งสมอง จนเด็กร้องจ้า และหายใจเข้าเป็นครั้งแรกของชีวิตที่อุบัติขึ้นมาสู่บรรยากาศของโลกอย่างเต็มตัว
นับแต่นั้นมา เด็กก็มีชีวิตอย่างสมบูรณ์ในภพชาตินี้เมื่อคลอดออกมาจากท้องแม่
เริ่ม...ก้อนเนื้อ ก้อนนี้ คือ วิบากในภพชาตินี้
หายใจเข้าครั้งแรก ก็เป็นผลวิบากของก้อนทุกข์ของทารกที่ต้องดำเนินชีวิตต่อไป หายใจออกและเข้าในครั้งต่อๆ มา ก็เป็นวิบากของก้อนเนื้อก้อนนี้ที่ต้องทำตลอดชีวิต โดยเจ้าตัวต่างก็ไม่รู้ สัมผัสทุกอย่างทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ก็เกิดขึ้นโดยเจ้าตัวก็ไม่รู้เรื่อง
“ยังไม่รู้เรื่อง” ทุกอย่างจึงเป็นวิบากของก้อนเนื้อ ก้อนนี้ ซึ่งเป็นก้อนทุกข์ที่จะรับวิบากจากโลก นับแต่นี้ไป จากการได้สัมผัสทางตา หุ จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็คือ
1) ทางตา เรียกว่า “จักขุวิญญาณ” คือ สังขารที่มีวิญญาณครองทางตา
2) ทางหู เรียกว่า สัททวิญญาณ คือ สังขารที่มีวิญญาณครองทางหู
3) ทางจมูก เรียกว่า ฆานะวิญญาณ คือ สังขารที่มีวิญญาณครองทางจมูก
4) ทางลิ้น เรียกว่า ชิวหาวิญยาณ คือ สังขารที่มีวิญญาณครองทางลิ้น
5) ทางกาย เรียกว่า โพฎฐัพพะวิญญาณ คือ สังขารที่มีวิญญาณครองทาง โพฎฐัพพะ และ
6) ทางใจ เรียกว่า มโนวิญญาณ คือ สังขารที่มีวิญญาณครองทางธรรมารมณ์
วิญญาณทั้งหกนี้ จะประกอบขึ้นเป็นสังขารพร้อมทั้ง ก้อนเนื้อ ก้อนทุกข์ ของเด็กทารกนี้จนโต...ตลอดชีวิต
เราเรียก วิญญาณทั้งหก นี้ว่า “สังขารที่มีวิญญาณครอง” คือต่างทางต่างครองวิญญาณของโลกนับแต่เกิดมาเพราะมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงรู้จักโลกเฉพาะทางของใครของมัน ทางเดียวเท่านั้นที่เป็นทางตรงต่อความจริงของ สภาพ “ธรรม” ที่ประจักษ์แจ้งรู้ได้เฉพาะทางของก้อนทุกข์นี้
เพราะ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงรู้จักโลกเฉพาะทางของใครของมันทางเดียว แต่มีหกทาง ทุกทาง ก็ลงสู่ มโน คือ จิตใจ และแต่ละทางก็ทำงานแยกจากกันอย่างเด็ดขาด ไม่ปนเปกันมาชนกัน แต่ส่งต่อกันเป็นทอดๆ คือ “เกิด” แล้ว “ดับ” ทุกช่วงไป ชีวิตก็ดำเนินไปจนตาย
คือ เกิดทางตา ก็ไม่ชนกับทางหู
เกิดทางหู ก็ไม่ชนกับจมูก
เกิดทางจมูกก็ไม่ชนกับทางลิ้น
เกิดทางลิ้นก็ไม่ชนกับโพฎฐัพพะ
"เป็นอัตตา เป็นตัวเรา เป็นของเรา"
เพราะไม่เห็น “ปริเฉทรูป” และ “สันตติรูป”
ทางมโนก็รับรู้ รับเรื่อง รับรูป รับอารมณ์ เช่น ชอบ หรือ ไม่ชอบ แต่ละทางไม่ชนกัน ก็เข้ามา แต่ประสานเข้ามารวมอยู่อย่างเดียวว่าเป็น “ตัวเรา” เป็น “ของเรา” จึงเป็นอุปทานอยู่ในจิตวิญญาณเพราะการส่งสารจากอายาตนะทั้งหกมาสู่ มโน หรือ จิต จะเร็วมาก ที่จะไม่ชนกันก็เพราะ มีช่องว่างของรูปต่างๆ จากอายนาตนะ ที่ทำให้ไม่ชนกัน นั่นคือ “ปริเฉทรูป” และ “สันตติรูป”
มโน รับรู้จากทางทวารทั้งหกโดยขบวนการที่เรียกว่า เกิด - ดับ เร็วมาก เหมือนกับดูภาพยนตร์แล้วเครื่องฉายภาพยนตร์ ฉายภาพฟิล์มที่มีภาพแต่ละช่องแยกจากกัน ด้วยจังหวะที่เคลื่อนที่ภาพอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 24 ภาพต่อวินาที
จังหวะการเคลื่อนที่ของภาพในฟิล์ม ที่เป็นภาพนิ่ง แต่ละแผ่นฟิล์มเคลื่อนที่เร็วต่อเนื่องกันไปเป็นสันตติจนตลอดเรื่อง ทำให้เราดูเหมือนผู้คนเคลื่อนไหว เดิน วิ่งกันขวักไขว่เสมือนภาพจริง...
แต่ที่จริงเป็นภาพ มายา ทำให้คนดูสนุกสนานกับภาพยนตร์ เหมือนกับชีวิตจริง “สนุกสนาน” กับวิถีชีวิตของตนเอง โดยเชื่อว่ามันจริงหมด มองไม่เห็น เป็น มายา บางขณะ และหลง “รัก” “โลภ” “โกรธ” หวงแหน และยึดไว้เป็นตัวตนจนตลอดชีวิต
ทั้งนี้ เพราะเราไม่เห็นช่องว่างที่ทวารทั้งหก เกิด- ดับ ... กลับเห็นเป็นการมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เป็นสันตติกันอย่างรวดเร็ว ที่เราตามไม่ทันที่ “อาสวะ” ซึ่งเป็นมายาที่ฝังแน่นอยู่ในเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณที่ช่วยกันปรุงแต่งให้เรารับรู้ต่อเนื่องอย่างเพลิดเพลิน จนเข้าใจผิด ว่ามีอยู่จริง... ที่เป็นธรรมชาติของสัตว์และมนุษย์ จึงเป็นสัญชาตญาณที่มนุษย์มีอยู่ ใช้มันตลอดชีวิต อยู่กับมัน แต่ไม่เห็นมัน
รู้ แต่ว่า สัญชาตญาณของเรานี้ ทำให้เรารู้ทุกอย่าง เรียนรู้ทุกอย่างในโลกได้ แต่ไม่รู้เรื่องสัญชาตญาณของตัวเอง ไม่เห็น “ปริเฉทรูป” ที่แยก ขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ที่เกิดและดับอย่างต่อเนื่อง เป็นสันตติทางอายาตนะทั้งหก ก้อนเนื้อก้อนนี้ ที่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงเป็นก้อนเนื้อที่ถูกบุพกรรมเข้าครอบครองตั้งแต่อยู่ในท้องแม่
"บุพกรรมครอบงำก้อนเนื้อก้อนทุกข์ในภพชาตินี้"
เมื่อเกิดมาได้สัมผัสกับบรรยากาศของโลกทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งผัสสะ ถือว่าเป็น อาหาร ของก้อนเนื้อก้อนทุกข์นี้ เพราะสิ่งนี้แหละที่เรียกว่า “กามคุณ” ทั้งห้า เป็นผู้เลี้ยงทารกให้เติบโตอยู่บนโลกจนตายจากไป
"สังขารที่มีวิญญาณครอง"
จักขุวิญญาณ สัททวิญญาณ ฆานะวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ โพฎฐัพพะวิญญาณ และมโนวิญญาณนี้ เมื่อสัมผัสแล้วยังไม่เกิดเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ สุดท้ายในขันธ์ห้า
เราเรียก วิญญาณทั้งหกนี้ว่า สังขารที่มีวิญญาณครอง ต่อเมื่อเกิด เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณตัวสุดท้ายในขันธ์ห้า คือ “อุปทานวิญญาณ” ที่เป็นสังขารหรือ “อภิสังขาร” ที่ปรุงกิจเสร็จแล้วของมโนกรรมในปัจจุบันแล้วดับ พร้อมที่จะไปเกิดใหม่ สืบต่อ “ภพชาติ” ของตนใน “อนาคต” เมื่อมีเหตุปัจจัย
อุปทานวิญญาณตัวสุดท้ายนี้ คือ เผ่าพันธุ์ที่สืบต่อจากสังขารที่มีวิญญาณครองจากรูปต้นทางของผัสสะทุกวิญญาณ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ และผ่านการปรุงแต่งในขณะปัจจุบันและอนาคตครบแล้วทั้งสามกาล คือ อดีต อนาคต และปัจจุบัน ครบทั้งสามกาล และจะสืบต่อไป เป็นวัฏฏะ ไม่รู้จบ
"สังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง"
เราเรียก เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณในขันธ์ห้าตัวสุดท้ายนี้ ว่า สังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง เพราะเป็นวิญญาณที่รู้โลกไม่ตรงกับความจริงของความเป็นโลก คือ สี เสียง กลิ่น รส รู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง แต่เอาอดีต เวทนา สัญญาจากอดีตกาลหลากหลายสหชาติ ระคนราคะ ตัณหา ทะยานอยากด้วยเจตนามุ่งไป สู่อนาคต เป็นตัวสร้าง “สามกาล” ให้เกิดขึ้น คือ อดีต อนาคต และปัจจุบัน
"ผัสสะ คือ ต้นทางของวิญญาณ"
ทำให้ผัสสะในปัจจุบันที่มี “จักขุวิญญาณ” และ “เวทนา” นี้ก็เป็นจิตที่รู้ไม่ตรงตามความเป็นจริงในขณะปัจจุบัน เพราะ “เวทนา” นี้เป็น “วิบาก” ของรูปที่เป็นก้อนทุกข์ ก้อนทุกข์นี้ก็เป็น ก้อน “กรรม” มาจากอดีตที่เรียกว่า “บุพกรรม”
"การเดินทาง ของกรรม ในสามกาล"
บุพกรรม ก็ครอบงำการสร้าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ รับใช้เป็นผลของ “วิบากกรรม” ในชาติปัจจุบัน “เวทนา” จึงเป็น “วิบาก”ที่รับใช้กรรมเก่าที่เป็น “อุปทาน” ที่สะสมกันไว้นำมาเกิดในชาติปัจจุบัน ยิ่งนับชาติเกิดมาก ก็ยิ่งเพี้ยนจากความเป็นจริงที่ตรงต่อสภาพความเป็นจริงของโลก จึงเรียกว่า “นันทิราคะสหคตา” หลายชาติหลายอย่างรวมกันทำให้เกิดจิตใหม่ๆ อีก เช่น รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งทำการปรุงแต่งในขณะกาลปัจจุบันนี้ใหม่ โดยมีเวทนา สัญญา วิบากจากกรรมเก่าในอดีตเป็นเผ่าพันธุ์ รวมกับเจตสิกทั้งปวง คือ เจตสิก 52 เป็น ธรรมสัมประยุทธ์ ทำให้เกิดปรุงแต่งให้เป็นไปตามเผ่าพันธุ์เก่า เพื่อสืบทอดภพชาติของเดิมต่อไป คือ เป็น “สังขาร” (อภิสังขาร)
"อภิสังขารเท่านั้น ที่จะสืบทอด ภพชาติเผ่าพันธุ์เด่น"
สังขาร ตัวนี้ เป็นอภิสังขาร จึงจะสืบภพชาติเดิมได้ ในขณะเดียวกันก็เป็น “กามสุขัลลิกานุโยค” สามกาลได้ทำการปรุงเรียบร้อยแล้ว เสร็จกิจ เป็น “มโนกรรม” ใน “อภิสังขาร”นี้ จึงเป็น “ปุญญาภิสังขาร” หรือ “อปุญญาภิสังขาร” ซึ่งวิญญาณในตัวสุดท้ายของขันธ์ห้า ก็รับไว้เป็น อุปทานวิญญาณในสังขารตัวใหม่นี้ไว้แล้ว ก็ดับกิจลง เมื่อเป็น วิญญาณที่มีอุปทานครบทั้งสามกาล จึงสามารถเกิดใหม่เพื่อสืบทอดวัฏฏะ เมื่อมีเหตุปัจจัยในภพหน้า หรือวิถีของจิตดวงต่อไปในภพชาติหนี้ นี่เป็นวัฏฏะสังขารของชีวิต
"เหมือนงูกินหางตัวเอง"
จากเส้นตรงกลายเป็นวงกลมของชีวิต เหมือนงูกินหางของตัวเองเปรียบเหมือนกรรมในอดีตเป็นเผ่าพันธุ์ กินแล้วเพลินไม่รู้ตัวอยากจะไปข้างหน้าอยู่เรื่อยด้วยตัณหา เจตนาจากปัจจุบันสู่อนาคตก็ต้องกินอยู่เรื่อยๆด้วยความอยากและหิวโหยที่จะต้องเลี้ยงชีพโดยหาอาหารมาใส่ทางตา ทางหู ทางกลิ่น ทางรส ทางโพฏธัพพะ ทางธรรมารมณ์ คือ ปรุงทุกอย่างด้วยกามคุณ วิญญาณในขันธ์ห้าก็เลยมีสามกาลอยู่ในตัวเอง จิตวิญญาณตัวหลังนี้จึงต่างจากจิตวิญญาณที่มีวิญญาณครองตัวแรก
จิตวิญญาณที่มีวิญญาณครองตัวแรก เป็น สังขารที่มีวิญญาณครอง เพราะเป็น ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ถูกครอบงำ ด้วยกรรมจากอดีต จิตที่เกิดตามมา คือ เวทนา จึงเป็นวิบากของกรรมในอดีต จิตที่เป็นอุปทานในวิญญาณตัวสุดท้ายเป็นจิตที่ถูกปรุงเพี้ยนจากกรรมเก่าในอดีต ภพอดีต คือ ได้แต่งเสริม เติมแต่ง “วิบาก” จากกรรมเก่า คือ “เวทนา” “สัญญา” ให้เข้มแข็ง เป็น “อภิสังขาร” ที่เรียกว่า “สังขาร” นั่นเอง เพื่อสืบต่ออายุของสังขารเดิมที่เป็นเผ่าพันธุ์จากอดีตให้สืบต่อภพชาติต่อไปในอนาคตด้วยเหตุปัจจัยที่จะประสบในอนาคตคือ ภพหน้า หรือวิถีจิตดวงต่อไป แล้วแต่ว่า อภิสังขารนั้นจะเป็นปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร หรือ อเนญชาภิสังขาร
"สังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง"
เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณในขัณฑ์ห้านี้ จึงเรียกว่า “สังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง” คือ ปรุงแต่งจนเป็นตัวตน อัตตา ของตัวตน เป็นเรา เป็นเขา เป็นของเราได้ทุกช่องทางที่รู้ตรงตามช่องของอายตนะที่เป็นจิตสังขารแรก ซึ่งเป็น สังขารที่มีวิญญาณครอง เราเรียกสังขารตัวนี้ว่า “อุปาทินกสังขาร” เพราะยังเป็นสังขารที่เป็นอุปทานของกรรมเก่าที่มาเกิดในภพนี้ ในท้องของมารดาในชาติปัจจุบันนี้
อุปาทินกสังขารเกิด อนุปาทินนกสังขารจึงเกิดตามมา
และจบพร้อมกันที่วิญญาณตัวสุดท้ายของขันธ์ห้า เป็น อัตตกิลมถานุโยค
หลังจาก “อุปาทินกสังขาร” เกิดแล้ว “อนุปาทินนกสังขาร” คือ “เวทนา” ก็เกิดต่อมา รู้อารมณ์เดียวกันกับจิตแรก แต่ปรุงเป็นชอบ หรือไม่ชอบ เป็นผลให้เมื่อตกลงเอาเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สัญญาเจตสิก ก็เกิดต่อในอารมณ์เดียวกัน
พอถึงสัญญาตัวนี้ ยากแล้วที่คุณจะหลุดจากอิทธิพลของกรรมเก่าในอดีต นี่คือ กิเลสจากอดีตซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ก่อให้เกิดนันทิราคะเพลิดเพลินด้วยราคะ สหคตาร่วมด้วยช่วยกันกับสหชาติมาก คือ กลุ่มของเจตสิก 52 มาช่วยสัมปยุทธประชุมร่วมกันพร้อมกับตัณหาเจตนาที่แสดงความอยากเช่นการสร้างอนาคต
จากอดีตสู่ปัจจุบันที่ปรุงด้วยกิเลสปัจจุบันและตัณหา เจตนาในอนาคต จึงสร้าง “กรรม” ขึ้นมาใหม่ คือ “สังขาร” ซึ่งเป็น “มโนกรรม” วิญญาณในขันธ์ห้าตัวสุดท้ายจึงยึดเป็นอุปทานในปัจจุบันแล้วดับลง เพื่อไปรับผลวิบากในอนาคต เกิดเป็น วงเวียนของ “กรรม- วิบาก- กิเลส- กรรม- วิบาก- กิเลส”
ทั้งหมดนี้เป็นการทำงานโดยไม่มีตัวตนของเราจริงๆเข้าไปเกี่ยวข้อง ทุกอย่างที่ทำงานในขบวนการนี้ ล้วนแต่เป็นไปโดยตัวของมันเองที่เป็นเหตุและผลของสังขารสองตัว คือ
1) อุปาทินกสังขาร คือ สังขารที่มีวิญญาณครอง
2) อนุปาทินนกสังขาร คือ สังขารที่ไม่มีวิญาณครอง
ที่แท้ก็คือ ดำเนินไปโดย
กรรม-------วิบาก------กิเลส--------กรรม--------วิบาก-------กิเลส
EP. 2 - เขียนตามที่เห็น บันทึกตามที่เป็น - นายซิดหยุ่น 83
พุทธศาสนา
2 บันทึก
4
10
2
4
10
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย