9 ม.ค. 2022 เวลา 12:30 • ประวัติศาสตร์
ท่านศาสดามูฮัมหมัด แต่งงานกับญุวัยรียะฮ์ เป็นภรรยาเพิ่มอีกคนหนึ่ง
ท่านนบีมูฮัมหมัด แต่งงานกับญุวัยรียะฮ์ เป็นภรรยาเพิ่มอีกคนหนึ่ง
อย่างที่ฉันได้เล่ามาว่าสงครามกับตระกูล อัลมุฏเฏาะลิกนั้น นำมาซึ่งปมประเด็นเรื่องสำคัญหลายอย่างในด้านครอบครัวของท่านนบี(ศาสนทูต)มูฮัมหมัดและปัญหาภายในของมุสลิมเอง สงครามนี้มีเชลยสาวสวยทรงสเน่ห์นางหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง คือ ญุวัยรียะฮ์ ซึ่งนางตกเป็นเชลยของมุสลิม นักรบคนหนึ่งในกองกำลังของอันศอร (ผู้ให้การช่วยเหลือ) จับนางได้ นางได้พยายามเสนอการไถ่ตัวด้วยตัวนางเอง แต่เมื่อผู้เป็นเจ้าของนางทราบว่านางเป็นบุตรสาวของ หัวหน้าตระกูลอัลมุฏเฏาะลิก
จึงได้ตั้งค่าตัวของนางไว้สูงมาก ด้วยความที่นางไม่ต้องการที่จะเป็นเชลยของผู้ที่จับนางได้ นางจึงไปหาท่านนบีที่บ้านท่านหญิงอาอีชะฮ์ ภรรยาของท่านนบี และบอกว่า นางเป็นบุตรีของ อัลฮาริษ อิบนุ(บุตรของ) อบูฏิร็อร หัวหน้าตระกูลอัลมุฏเฏาะลิก และให้นางขอร้องให้ท่านนบีไถ่ตัวนางจากการเป็นเชลย เมื่อท่านนบีทราบข่าวจึงคิดที่จะช่วยนาง ท่านได้กล่าวว่า ท่านจะไถ่ตัวนางและจะแต่งงานกับนาง นางตอบรับการแต่งงานในครั้งนี้
เมื่อข่าวเรื่องการแต่งงานของท่านศาสนทูตของพระเจ้ากับนาง ญุวัยรียะฮ์ กระจายออกไป ทำให้ทุกคนที่เป็นเจ้าของเชลยศึกชาวตระกูลมุฏเฏาะลิก ได้ปล่อยตัวเชลยจากตระกูลนั้นไปให้เป็นอิสระ เพราะความนับถือในฐานะใหม่ของเชลยเหล่านั้นที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับท่านศาสนทูตของพระเจ้าในฐานะเครือญาติ ท่านหญิงอาอีชะฮ์ กล่าวถึงนางญุวัยรียะฮ์ว่า
“ฉันไม่รู้จักผู้หญิงคนไหนเลย ที่ทำคุณประโยชน์แก่ประชาชนของตนเหมือนนางญุวัยรียะฮ์”
มีการเล่าประวัติศาสตร์ตอนนี้ต่างกันออกไปบ้างดังนี้
คนหนึ่งได้กล่าวว่า บิดาของ ญุวัยรียะฮ์ ได้มาขอไถ่ตัวบุตรสาวจากท่านนบี แต่เมื่อเขาได้สนทนากับท่านนบีแล้วเขาก็หันมารับศาสนาอิสลาม และบุตรีของเขาก็หันมารับอิสลามด้วย ท่านนบีจึงขอแต่งงานด้วยสินสอดให้นาง สี่ร้อย ดิรฮัม ซึ่งนางก็ตอบตกลง
อีกคนหนึ่งเล่าว่า บิดาของนางไม่เห็นด้วยที่นางจะแต่งงานกับท่านนบี แต่ญาติคนหนึ่งของเขาเข้าขัดขวางและมอบนางให้แก่ท่านนบี โดยบิดาของนางไม่เต็มใจ
แต่อย่างไรก็ตามเรื่องได้สรุปที่ว่านางได้เป็น “มารดาแห่งศรัทธาชน”คนหนึ่งที่มุสลิมจะต้องให้เกียรติ์จนถึงทุกวันนี้ ท่านนบีได้สร้างห้องหนึ่งให้นางซึ่งอยู่ติดกับห้องอื่นๆของท่านที่ข้างมัสยิด
หลังการแต่งงานของท่านนบี เรื่องซุบซิบ ที่ท่านหญิงอาอีชะฮ์ ที่ขี่อูฐของ ศ็อฟวานเข้าเมืองหลังกองทัพได้ถูกกระพือขึ้นให้เป็นข้อสงสัยในช่องว่างของเวลาที่ทั้งสองเข้าเมืองช้า โดยมีประเด็นว่า ศ็อฟวานนั้นเป็นคนรูปงามที่อยู่ในวัยหนุ่มแน่น ข่าวนี้เกิดจากนางฮัมนะฮ์ ซึ่งเป็นบุตรีของ ญะหช์ ซึ่งนางเป็นน้องสาวของ ซัยนับ ซึ่งเป็นภรรยาของท่านนบีคนหนึ่ง นางนั้นรู้ดีว่าท่านนบีนั้นรัก นางอาอีชะฮ์ มากกว่าพี่สาวของนาง นางได้เริ่มกระจ่ายข่าวคราวการนินทานี้อย่างแข็งขัน แล้วนางก็ได้ผู้บอกต่อและผู้รับฟังมากขึ้น กลายเป็นเรื่องซุบซิบว่า “อย่าบอกต่อ” กระจายทั่วไปในสังคมมะดีนะฮ์
2
เมื่อเรื่องนี้ไปถึงหู อับดุลเลาะฮ์ อิบนุ อุบัย ผู้ซึ่งเก็บความขุ่นเคืองมุสลิมผู้อพยพมาและท่านนบีที่เข้ามาครองอำนาจในเมืองนี้ ถึงเขาจะเป็นมุสลิมแต่เขาก็มิอาจหยุดความเกลียดชังในใจไว้ได้ แม้เขาจะถูกคาดโทษมาครั้งหนึ่งถึงขนาดที่บุตรชายของเขาจะตัดศรีษะเขามาให้ท่านนบีด้วยตัวเองหากมีคำสั่ง เขาหาสำนึกไม่แต่กลายเป็นแค้นฝังลึกเข้าไปอีก ข่าวซุบซิบนี้มีค่าสำหรับเขา ที่จะทำให้ชุมชนมุสลิมแตกแยกกัน เขาจึงกระจ่ายข่าวนี้ไปตามท้องตลาด แต่ชาวพื้นเมืองเผ่าเอาส์ซึ่งเป็นคนพื้นเมืองเดิมละเผ่ากับเขาได้ออกมาถกเถียงปกป้องศักดิ์ศรีความบริสุทธิ์ของท่านหญิงอาอีชะฮ์ เพราะที่ผ่านมานางไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยเลยและเรื่องการเดินทางกลับมาหลังจากกองทัพล่าช้าก็เป็นเหตุสุดวิสัยของนางในเวลานั้น เรื่องเหล่านี้สร้างความขัดแย้งในสังคมจนเกือบจะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในเวลานั้น
โฆษณา