Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
อ่าน-ให้
•
ติดตาม
8 ม.ค. 2022 เวลา 04:25 • หนังสือ
1984 || Done
Author || George Orwell
Publish || 1949
นิยายการเมืองคลาสสิคขึ้นหิ้งตลอดกาลที่คนอื่นอ่านกันไปตั้งแต่ช่วงฮอตฮิตเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่ทางเราเพิ่งมีโอกาสได้อ่านเพราะบังเอิญไปเจอเข้าในชั้นหนังสือที่บ้านตอนเก็บห้องเตรียมรีโนเวท แล้วก็ค้นพบว่าเดชะบุญเหลือเกินที่ที่บ้านมีฉบับแปลอยู่ เพราะถ้าอ่านภาษาอังกฤษก็อาจจะต้องงมอยู่กับคำศัพท์แปลกประหลาด มีความเสี่ยงจะแปลถูกแปลผิดไปอีก
ความน่าสนใจของ 1984 คือการที่เนื้อเรื่องนั้นได้รับอิทธิพลจากสงครามโลกเป็นอย่างมาก ถูกตีพิมพ์ตั้งแต่เพิ่งจบสงครามโลกได้หมาดๆ เพื่อเล่าถึงอนาคตในปี 1984 อันน่าสะพรึงกลัวเมื่อโลกได้ถูกปกครองโดยกลุ่มเผด็จการสมบูรณ์ที่ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นทุนนิยมหรือสังคมนิยมกันแน่ แต่เรากลับได้เห็นภาพทับซ้อนของสังคมปัจจุบันบนเนื้อหาจาก 70 ปีที่แล้วแบบแทบไม่ผิดเพี้ยน
เมื่อเรื่องราวในนิยายถูกวางลงบนเส้นตัด ณ จุดหนึ่งอันจำเพาะเจาะจงของห้วงเวลา เราก็สามารถแบ่งผู้อ่านออกได้เป็นสองกลุ่ม คือผู้คนในอดีตที่อ่านเรื่องราวในอนาคต และผู้คนในอนาคตที่กำลังย้อนมองคำทำนายในอดีต
ผู้คนในศตวรรษที่ 20 จะมีความรู้สึกอย่างไรกันหนอ หากได้รู้ว่าสังคมมนุษย์ยังคงย่ำอยู่ในวังวนของการปกครองที่ชั่วร้ายแบบเดิมๆ เรื่องโป้ปดมดเท็จแบบเดิมๆ และความพ้ายแพ้ของชนชั้นล่างและชนชั้นกลางที่เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปเกินครึ่งศตวรรษแล้วก็ตาม
แล้วผู้คนในศตวรรษที่ 21 นี้เล่า รู้สึกอย่างไรเมื่อค้นพบว่า นิยายไซไฟล้ำยุคจากหลายสิบปีที่แล้ว ยังสามารสร้างความขนลุกขนพองให้กับมนุษย์ยุคใหม่ ที่หลงเชื่ออย่างหมดใจว่าอาศัยอยู่ในยุคศิวิไลซ์แห่งเทคโนโลยีและประชาธิปไตยที่มนุษย์จากอดีตไม่อาจใฝ่ฝันถึง จะรู้สึกหมดสิ้นความหวัง หรือจะรู้สึกโกรธเกรี้ยวและพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อนำเอาชัยชนะที่แท้จริงมาให้ได้กันนะ
ในส่วนของเนื้อเรื่องคิดว่าควรค่าแก่การอ่านเองเป็นอย่างยิ่ง มีทวิสต์ประปรายกำลังดี อาจจะได้รับคำวิจารณ์ว่าเนื้อหาไม่คมคายซับซ้อนเท่านิยายการเมืองสมัยใหม่ๆ แต่ในส่วนของตัวเราเองนั้นก็ประทับใจมาก และจะขอบันทึกเรื่องราวที่ประทับใจไว้พอประมาณละกัน
เราได้เห็นการจับตามองประชาชนทุกย่างก้าว ซึ่งถึงแม้จะทำผ่านเทคโนโลยีที่ไม่ได้ตื่นตาตื่นใจนักเพราะเขียนไว้ตั้งแต่ปี 1949 แต่เหตุการณ์นั้น ก็กำลังเกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน เรากำลังถูกจับตามองทุกย่างก้าวของชีวิตมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนผ่านทาง Digital Footprint ซึ่งรัฐบาลเองก็พยายามเป็นอย่างมากที่จะเข้าควบคุมข้อมูลทั้งหมดผ่านทางนโยบายการปกครอง [ พยายามที่จะเป็นจีนให้ได้จริงๆ ]
เราได้เห็นลัทธิผู้ปกครองเดี่ยวแบบเบ็ดเสร็จราวกับสมมติเทพที่เรียกว่า Big Brother ผู้ซึ่งไม่อาจด่างพร้อย ไม่อาจมีมลทิล เป็นผู้ถูกต้องดีงาม อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างทั้งปวง เป็นศูนย์รวมจิตใจ เป็นแสงดาวนำทางในวันมืดมิด ซึ่งถ้ามองย้อนไปยังยุค 1949 ภาพนั้นคงถูกแทนที่ด้วยฮิตเลอร์ในฝั่งตะวันตก และ ท่านเหมาในฝั่งตะวันออก แต่ถ้าข้ามมายังศตวรรษที่ 21 ก็คงมีเหลือแค่ไม่กี่ประเทศในโลกแล้วหล่ะที่ยังมีลัทธิการปกครองแบบสมมติเทพอยู่
เราได้เห็น Propaganda แบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ เห็นการสร้าง Fake News อย่างเป็นระบบ แบบที่โคตรจะไม่น่าเชื่อและไม่แนบเนียน แต่คนเกือบทั้งอาณาจักรก็เชื่อ
เราได้เห็นการปลูกฝังความคิดบิดเบี้ยวให้ประชากรในอาณาจักรตั้งแต่ยังเด็ก ได้เห็นวิธีการปลูกฝังให้ความรักต่อท่านผู้นำนั้นยิ่งใหญ่กว่าสายสัมพันธ์ของครอบครัว
เราได้เห็นการครอบงำความคิดด้วยความเกลียดชัง การสร้างศัตรูในจินตภาพ การเบี่ยงเบนความเกลียดชังไปยั่งศัตรูร่วมของคนทั้งอาณาจักร เพื่อที่ชนชั้นปกครองจะได้ลอยตัวอยู่เหนือความเกลียดชังทั้งปวง ซึ่งก็เป็นรูปแบบที่เห็นได้ทั่วไปในสังคมทุกวันนี้แม่เวลาจะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว
เราได้เห็นคนหลากหลายประเภท ที่น่าเวทนาต่างๆกันไป
วินสตัน : คือคนที่รู้ตัวว่าตกอยู่ในระบบที่บิดเบี้ยวและชั่วช้า แต่ขี้ขลาดเกินกว่าจะต่อต้าน คือคนที่ถูกระบบทำร้ายจนจิตใจแหลกเหลวและไม่อาจอยู่ได้โดยไร้ที่ยึดเหนี่ยว หัวใจของวินสตันยึดโยงอยู่กับคณะภาคี ย้ายไปยังจูเลีย แล้วก็ย้ายไปยังโอไบรอัน และสุดท้าย วันที่ไม่เหลืออะไรให้ยึดเหนี่ยวอีกแล้ว ก็ยอมมอบใจให้ Big Brother ในที่สุด
จูเลีย : คือคนที่รู้ว่าตกอยู่ในระบบที่บิดเบี้ยวและชั่วช้า แต่กลับอิกนอร์แรนท์อย่างไม่น่าเชื่อและเอาตัวรอดด้วยวิธีการเสแสร้งแกล้งทำ เป็นคนที่เมื่อถึงตาจนต้องถอยจนหลังชนฝาก็พร้อมที่จะสู้กับระบบจนตัวตาย และสุดท้าย... คนแบบจูเลียที่เอาตัวรอดมาได้ตลอดก็จะต้องตายไป พ่ายแพ้ไป โดยที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
โอไบรอัน : คือผู้กุมอำนาจในระบบอันบิดเบี้ยว คือผู้ที่อยู่ในชนชั้นบน แต่ก็ยังไปไม่ถึงชนชั้นปกครอง คือผู้ที่พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะรักษาระบอบชนชั้นเอาไว้ เพื่อที่ตัวเองจะได้อยู่อย่างสุขสบายต่อไป ผู้ที่เหี้ยมโหดเลือดเย็นจนไม่เห็นมนุษย์คนอื่นเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ
ตัวประกอบทั่วไป : คือผู้ที่โง่เขลาตาบอด ที่ไม่อาจมองเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่หลังเรื่องโป้ปดมดเท็จได้ คือผู้ที่ถึงแม้จะมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่อาจใช้ชีวิต ทำได้เพียงหอบสังขารไปตามแต่ผู้กุมอำนาจจะบงการ เป็นสิ่งมีชีวิตที่สูญเสียฟรีวิลล์อย่างสมบูรณ์ และยอมสูญเสียมันอย่างเต็มอกเต็มใจ เต็มไปด้วยความเลื่อมใสและศรัทธา
กรรมาชีพ : คือชนชั้นที่ยังหลงเหลือสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์สูงที่สุดในดินแดนโอชันเนีย กลุ่มคนที่ใช้ชีวิตได้อย่างใจต้องการแต่ก็เหมือนไร้ชีวิต มีกำลังวังชาแต่ไร้ซึ่งความรู้ความสามารถ ไร้ซึ่งอนาคต มีเพียงลมหายใจและแรงขับดันตามธรรมชาติที่ผลักดันให้ชีวิตเดินต่อไปในแต่ละวัน เป็นได้เพียงชนชั้นที่ไม่อาจโงหัวขึ้นมาเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ
วรรคทองมากมายจาก 1984 ยังคงทรงพลังอย่างน่าทึ่งในสังคมปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น "หากความหวังยังมี.. มันอยู่ที่กรรมาชีพ" "ชนชั้นนั้นไม่มีทางพังทลาย" "ใต้ต้นเชสท์นัทแผ่สาขา.. เราต่างขายกันไปมา" "กรรมาชีพไม่ใช่คนด้วยซ้ำ" "สงครามคือสันติภาพ" "เสรีภาพคือความเป็นทาส" "อวิชชาคือกำลัง " "เสรีภาพคือเสรีภาพที่จะพูดว่า 2+2 เป็น 4" "2+2 = 5"
แล้วในสังคมรอบตัวเราทุกวันนี้... เราเห็นอะไรด้วยตาของเราบ้าง? สิ่งที่เห็นนั้น อะไรคือความจริง อะไรคือความเท็จ ไม่อาจมีใครรู้ได้... เราไม่อาจรู้ด้วยซ้ำว่า 2+2 = 4 นั้นจริงแท้แน่นอนแค่ไหน
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย