8 ม.ค. 2022 เวลา 06:24 • ครอบครัว & เด็ก

วิธีเลือกซื้อ รถแบตเตอรี่ ที่ถูกต้อง โดย ร้าน บ้านของรัก ปากซอยลาดพร้าว 61

ถ้าเราเลือกซื้อ รถแบตเตอรี่ ที่มีคุณภาพดี ได้อย่างถูกต้อง จะใช้งานไปได้อีกนาน จนกว่า แบตเตอรี่ จะเสื่อมคุณภาพ ซึ่งถ้าชาร์จ และ ใช้อย่างถูกวิธี แบตเตอรี่ จะใช้งานได้นานมากกว่า 2 ปี
สำหรับตัว รถแบตเตอรี่ ถ้าไม่จอดรถ ตากแดดทิ้งไว้ จะสามารถใช้งานต่อไป ได้นานมากกว่า 30 ปี สามารถส่งต่อให้ลูกหลานใช้ต่อไปได้ตลอดไป เพราะเนื้อพลาสติกจะไม่สูญสลาย ก่อนการเลือกซื้อ รถแบตเตอรี่ จึงควรศึกษา คุณสมบัติต่างๆ ของ รถแบตเตอรี่ ให้ดี
1. ควรซื้อกับร้าน ที่มีหน้าร้านเชื่อถือได้ ในร้าน มีช่างซ่อมให้เห็นว่า มีบริการหลังการขาย เมื่อ รถแบตเตอรี่ เสียซ่อมได้ มี ลูกค้า จำนวนมาก ที่ซื้อ รถแบตเตอรี่ ไปใช้งานได้ไม่ถึง 1 ปี แล้วรถเสีย ร้านค้า ไม่รับผิดชอบในการซ่อม จึงต้องระวังในเรื่องนี้ ควรให้มีการ เขียนใบรับประกัน ของร้านให้ เพื่อเป็นหลักฐานว่า จะมีการรับประกันการซ่อม ภายในระยะเวลา 1 ปี
2. ถ้าจะซื้อทางออนไลน์ จะต้องระวังอย่างมาก ร้านค้าที่ซื้อไป จะไม่รับผิดชอบ เมื่อได้รับสินค้าแล้ว ต้องทดลองใช้งานอย่างจริงจัง หากเกิดปัญหา ติดต่อ Call Center ของเพจ หรือ ของแพลตฟอร์ม ที่ขายสินค้าออนไลน์ ให้ทำเรื่องคืนสินค้า และ ให้โอนเงินคืน ภายใน 7 วัน
ค่าขนส่ง ในการคืนสินค้า แพลตฟอร์มต่างๆ อย่าง Lazada หรือ Shopee จะเป็นผู้รับผิดชอบให้ทั้งหมด สินค้าที่ทดลองใช้แล้ว เสีย ทางร้านค้า ต้องรับผิดชอบทุกกรณี เพราะมีกฏหมายควบคุมอยู่
ทางที่ดี ไม่ควรซื้อกับ ร้านค้า ทางออนไลน์ มีโอกาสเสียหายมากกว่า เข้าไปเลือกซื้อด้วยตนเอง
3. การซื้อ รถแบตเตอรี่ จากหน้าร้าน ต้องลองสินค้า ให้แน่ใจก่อนว่าใช้ได้ ไม่มีปัญหาอย่างใด และ พึงพอใจ ในประสิทธิภาพ ในการใช้งานของ รถแบตเตอรี่ ดังนี้
3.1 เลือก รถแบตเตอรี่ ที่มี ปุ่มสวิตช์ High Low ก็จะดี เพราะสามารถ ปรับความเร็วของ รถแบตเตอรี่ ได้ ตอนลูกยังเล็กมาก อาจให้ขับด้วยปุ่ม Low ช้าๆปลอดภัยดี พอลูกโตขึ้น ต้องอยากขับเร็วขึ้นแน่นอน จะได้ไม่ต้องซื้อคันใหม่ครับ
รถบางคันไม่มีปุ่มกด ช้า เร็ว ที่ตัวรถ แต่ใช้เป็น การกดเร่งบังคับ ที่ตัวรีโมทบังคับ ดังนั้นเวลาเลือกซื้อรถ ควรให้คุณลูก ลองไปนั่งขับดูด้วยว่าชอบ หรือ ไม่
3.2 เรื่องขนาดของที่นั่ง ต้องซื้อให้ใหญ่ ให้กว้างไว้ก่อน เพราะ เด็กโตเร็วมาก จะได้ใช้งานต่อไป ได้อีกนานๆ ไม่ต้องซื้อ รถแบตเตอรี่ คันใหม่ตอนที่ ลูกโต และตัวใหญ่ขึ้น
3.3 ปุ่มสวิตช์ เดินหน้า-ถอยหลัง มี 2 แบบ เป็นแบบคันโยก กับ แบบสวิตช์กด ถ้าเป็นแบบคันโยก จะมีโอกาสเสียได้ง่ายกว่า แบบสวิตช์กด เพราะเด็กไม่ได้ระวังในการใช้แรงโยก ถ้าซื้อแบบสวิตช์กด จะทนทานมากกว่า
สวิตช์ เดินหน้า-ถอยหลัง แบบมีคันโยก
สวิตช์ เดินหน้า-ถอยหลัง แบบมีคันโยก อีกแบบหนึ่ง ที่มีปรับความเร็วได้
สวิตช์ เดินหน้า-ถอยหลัง แบบสวิตช์กด
3.4 สวิตช์คันเร่งที่เท้า ต้องตรวจสอบ และ กดดูอย่างละเอียด จะมี 2 แบบ คือ
1. แบบด้านใน ใช้เป็น แผ่นทองเหลือง 2 แผ่น เยียบไปให้ติดกัน มีสปริงดันให้เด้งขึ้นมาเพื่อแยกจากกัน ทำเป็นแบบสวิตช์ เพื่อให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ และ ตัดกระแสไฟ แบบนี้ถ้า กดลงไป จะไม่รู้สึก ดัง กึ๊กๆ กดลงไปแบบไม่มีเสียงอะไร สวิตช์คันเร่งที่เท้าแบบนี้ เป็นการลดต้นทุน ค่าอุปกรณ์ประกอบรถ ของโรงงาน ไม่ต้องสั่งซื้อสวิตช์เป็นตัว มาติดตั้งด้านในที่เหยียบ
ใช้ได้เหมือนกัน แต่ไม่ดีเท่า แบบที่มีสวิตช์อยู่ด้านใน มีโอกาสเกิด คราบอ๊อกไซด์ สนิม และ ฝุ่นต่างๆเข้าไปสะสมได้ เพราะ ไม่มีตัวถังพลาสติกครอบ เหมือนสวิตช์ทั่วไป จึงมีโอกาสเสียได้ง่ายกว่า
สวิตช์เหยียบ ที่ประกอบ แบบไม่มีสวิตช์อยู่ด้านใน
2. แบบมีตัวสวิตช์อยู่ด้านใน แบบนี้จะดีกว่า มีตัวรับแรงกด เวลาใช้เท้าเหยียบ มีทั้งสปริงกรอบนอกตัวสวิตช์ บางโรงงานก็ไม่ใส่สปริงมาให้ รองรับจากสปริงของสวิตช์อย่างเดียว และ สปริงที่ภายในตัวสวิตช์ เวลากดสวิตช์ตัวนี้ จะมีเสียง กึ๊กๆ ด้วย
คันเร่งที่เท้า แบบที่มี สวิตช์สีดำ อยู่ด้านใน
3.5 เวลาซื้อ หงายดูใต้ท้องรถ ถ้าช่วงหลัง มีระบบสปริง แท่นชุดเฟืองมอเตอร์ล้อ ทำหน้าที่คล้ายกับ โช๊ค จะดีกว่าเป็นแบบแกนนิ่งตรงๆ เพราะจะช่วยรับแรงกระเทือน ได้ดีกว่า แบบแกนล้อตรง ถ้าวิ่งพื้นที่ไม่เรียบ จะโดนกระแทกตรงๆครับ
ช่วงล่าง แท่นชุดเฟืองมอเตอร์ล้อ มีสปริงทำคล้ายโช้ค
3.6 รถแบบ พวงมาลัยเพาเวอร์ หมุนเบาๆ แล้วมอเตอร์ด้านล่างหมุนมุมล้อให้ อย่าไปซื้อแบบนี้มาใช้เด็ดขาด ใช้ไปไม่นานเสียแน่นอนครับ ซ่อมยากมาก ถึง ซ่อมไม่ได้ ถ้าจะซ่อมให้ได้ ต้องหาอะไหล่ ทั้งชุดพวงมาลัย มาเปลี่ยนครับ และใช้ไปไม่นานก็จะเสียอีก ไม่แน่ว่าจะมีอะไหล่ขายด้วย
วิธีดูว่าเป็น พวงมาลัยเพาเวอร์ หรือไม่ ดูที่ แกนพวงมาลัย จะเป็นแท่งพลาสติก กลมใหญ่ สามารถ ปรับความสูงได้ 2-3 ระดับ ปรับขึ้นลงได้ หมุนได้เบาๆ และ จะเด้งกลับมาตรงกลาง ดูเทียบตามรูปได้ครับ
ถ้าไม่ใช่พวงมาลัยเพาเวอร์ เวลาโยกพวงมาลัย จะหนักๆ เพราะต้องใช้แกนเหล็กที่เกี่ยวให้ล้อเลี้ยวได้ ไปต่อตรงกับพวงมาลัยเวลาหมุนพวงมาลัยล้อก็หมุนตามมุมของพวงมาลัย
ลักษณะของ พวงมาลัยเพาเวอร์ ที่เสียง่ายที่สุด ห้ามซื้อมาใช้เด็ดขาด
3.7 รถแบตเตอรี่ ของเด็กเล็ก ที่ใช้คันสวิตช์โยก 2 ข้าง แทนพวงมาลัยที่ใช้เลี้ยว แบบรูปด้านล่าง อย่าซื้อมาใช้งานอย่างเด็ดขาด ซื้อไปใช้ได้ไม่นาน สวิตช์โยกทั้ง 2 ข้าง จะเสียแน่นอน และเมื่อเสียแล้ว จะไม่มีอะไหล่ที่ใช้ซ่อมได้ เพราะเป็นแบบเฉพาะ ที่โรงงานผู้ผลิตสั่งมาใช้ ไม่มีขายทั่วไปครับ
3.8 เลือกซื้อ แบบที่มีหน้าปัด แสดงระดับความจุของแบตเตอรี่ จะดีกว่า ไม่มี เพราะเรื่องนี้สำคัญต่อการใช้งาน มี 2 แบบ เป็นแบบขีด กับ แบบที่แสดงเป็นตัวเลข ก็แล้วแต่ชอบ แบบขีดดูง่าย แต่ไม่รู้ ระดับแรงดัน(โวลท์) จริงๆ ของแบตเตอรี่ ว่าเหลือกี่โวลท์แล้ว เพราะถ้าระดับแรงดัน ต่ำกว่า 11 โวลท์ ต้องนำมาชาร์จแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่เสียหาย ถ้าเป็นแบบขีด ก็อย่าให้ลงต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง ก็นำมาชาร์จได้ หรือ ชาร์จให้แบตเตอรี่เต็มทุกครั้ง ก่อนนำมาเก็บ
หน้าปัดแสดงระดับความจุ ของแบตเตอรี่ แบบขีด
4. ตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่ ให้แน่ชัด ก่อนจะจ่ายเงินซื้อ รถแบตเตอรี่ เพราะ อาการเสียของ รถแบตเตอรี่ใหม่ ที่มีมากที่สุด คือ แบตเตอรี่ใช้ไปไม่นาน เสีย หรือ เสื่อมสภาพ ก่อน 1 ปี บางทีใช้ไป 6 เดือนก็เสียแล้ว รถแบตเตอรี่ ที่ขายตามร้าน ไม่ได้ดูแลการชาร์จแบตเตอรี่ จอดทิ้งไว้นานๆ กระแส(A) และ แรงดัน(V) สามารถรั่วไหลเองได้
ร้านค้า ไม่ได้มีการดูแลการซาร์จแบตเตอรี่ให้ดี ลูกค้าซื้อไปใช้ ไม่นาน แบตเตอรี่ ก็จะเสื่อมสภาพ และ เสียได้ในที่สุด
รถแบตเตอรี่ ส่วนใหญ่ จะมีแผงหน้าปัดวัด ระดับแรงดันไฟฟ้า(V) แสดงเป็นตัวเลขอยู่ เช่น 6.38 หรือ 12.43 โวลท์ วิธีทดสอบประสิทธิภาพ ในการเก็บไฟ ของแบตเตอรี่ ได้คร่าวๆ คือ ให้ลูก ลงไปนั่ง และ เหยียบคันเร่ง ดูที่หน้าจอว่าระดับ แรงดัน ที่โชว์อยู่ ลดลงมามากน้อยทันที หรือไม่ เช่น 12.43 โวลท์ พอนั่งขับเยียบคันเร่งไม่น่าน ระดับแรงดัน ลดลงมากเหลือ 12.16 โวลท์ อย่างนี้ แบตเตอรี่ที่ได้มาอาจเสื่อมคุณภาพแล้ว
ดูตามตัวเลขวันที่ผลิตก็ไม่แน่นอน เพราะ แบตเตอรี่จีน ที่ใส่มากับ รถแบตเตอรี่ เป็น แบตเตอรี่คุณภาพต่ำ เป็นแบตเตอรี่ปลอมบ้าง บางร้านเอาแบตเตอรี่เก่า แต่ตัวแบตเตอรี่ดูใหม่ มางัดฝาปิดช่อง เติมน้ำกรดเข้าไป ระดับแรงดัน จะเพิ่มขึ้นมาปกติ แต่แบตเตอรี่ ไม่เก็บกระแสไฟฟ้า ชาร์จแล้ว รถวิ่งได้ไม่นาน แบตเตอรี่ก็หมด ปกติที่ถูกต้อง จะสามารถวัด สภาพแบตเตอรี่ ด้วย เครื่องวัด CCA ได้ครับ
ตรวจวัดสภาพแบตเตอรี่ ด้วยเครื่องมือวัด CCA
5. เลือก แบตเตอรี่ ในรถ ที่มีความจุของ กระแส ที่มีหน่วยวัดเป็น แอมป์ สูง จะใช้ได้นานมากกว่า แบตเตอรี่ที่มี แอมป์ ที่ต่ำกว่า
แบตเตอรี่ ขนาด 6 โวลท์ 4.5 แอมป์ 2 ก้อน ต่ออนุกรมกัน = 12 โวล์ท 4.5 แอมป์
ส่วนใหญ่ รถแบตเตอรี่ ขับเคลื่อน 2 มอเตอร์ จะใช้ แบตเตอรี่ ก้อนเล็ก ขนาด 6 โวลท์ 4.5 แอมป์ 2 ก้อน ต่อ อนุกรมกัน รวมเป็น แรงดันไฟฟ้า 12 โวลท์ 4.5 แอมป์ แบตเตอรี่ แบบนี้ จะใช้งานได้ ระยะเวลา น้อยกว่า แบตเตอรี่ ก้อนใหญ่ แบบ 12 โวลท์ 7 แอมป์ ในรูปด้านล่าง เขียน (12V7.0AH) ใส่ใน รถแบตเตอรี่ เพียงก้อนเดียว
แบตเตอรี่ก้อนเดียว ขนาด 12 โวลท์ 7 แอมป์
6. รถแบตเตอรี่ที่มีคุณภาพดี จะมีแผ่นพลาสติกปิดช่วงล่าง กันฝุ่น กันโคลน กันน้ำกระเซ็นเข้าใต้ท้องรถเพราะข้างใต้ รถแบตเตอรี่ ส่วนใหญ่เป็นข้อต่อ ท่อหุ้มสายไฟ และ แกนเหล็กต่างๆ จะเป็นสนิมได้ง่าย และ ถ้าทิ้งไว้นานๆ เหล็กจะถูกกัดกร่อนออกไป ทำให้ รถแบตเตอรี่ มีอายุการใช้งานที่สั้นลง อย่าลืมดู การจัดเก็บสายไฟใต้ท้องรถด้วย ถ้าจัดเก็บไม่ดี มีสายไฟห้อยลงมา เวลาน้องๆขับไป สายไฟอาจเกี่ยวกิ่งไม้ ใต้ท้องรถ ทำให้สายไฟขาดเสียหายได้
ตัวอย่างรถที่มีแผ่นพลาสติกปิดใต้ท้องรถมิดชิด ป้องกันสายไฟที่ห้อยอยู่ใต้ท้องรถ
7. เวลาจะซื้อ รถแบตเตอรี่ หงายดูใต้ตัวถังรถ ว่ามีการวางแกนเหล็ก ช่วยรองรับกับ ตัวถังพลาสติกด้วย หรือไม่ ทั้งแกนกลาง และ มีเหล็กรองรับ ช่วงด้านหน้า และ ช่วงด้านหลัง ถ้ามี ก็ถือว่า รถผลิตมาอย่างมีคุณภาพ และ ยังช่วยรับน้ำหนักได้ดีกว่า ใช้เป็นพลาสติกอย่างเดียว
ดังนั้น รถแบตเตอรี่ ที่ดี จะมีน้ำหนักมาก อาจดูที่ตัวถังรถว่า หล่อพลาสติกหนาหรือบาง มีแกนเหล็กรองรับใต้ท้องมากกว่า หรือไม่ ล้อรถทำจากพลาสติกที่หนามากกว่า หรือไม่ รถบางคันฉีดล้อพลาสติกมาบาง กดดูยุบตัวได้ ล้อหนาๆหนักๆจะดีกว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้ รถหนักขึ้น จึงเป็นรถที่ดีกว่า
สนับสนุนบทความนี้ โดย
ร้าน บ้านของรัก ปากซอยลาดพร้าว 61
โทร. 0991809888, 0900930999 Line: banlove61 รับซ่อมรถแบตเตอรี่ทุกชนิด
ตัวอย่างผลงาน รถแบตเตอรี่ ที่ร้าน บ้านของรัก ซ่อมเสร็จไปแล้วครับ
โฆษณา