9 ม.ค. 2022 เวลา 13:27 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ลงทุนอะไรดี.....? ก่อนตั้งคำถามควรต้องรู้สิ่งนี้ก่อน By เด็กขาดหุ้น
เป็นคำถามยอดฮิตที่ผู้ลงทุนมือใหม่ถามกันบ่อยมาก
แต่ก่อนอื่นเลยเราต้องมาดูก่อนว่า การลงทุนนั้นคืออะไร เพื่อให้เรารู้ความหมายของการลงทุนที่แท้จริง เรามาดูกันเลยว่า ความหมายของการลงทุน คืออะไร มาดูกัน
การลงทุนคืออะไร
การลงทุน คือ การนำเอาสินทรัพย์ที่มีอยู่ไปดำเนินการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุน เพื่อหวังว่าผลตอบแทนจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นนั้น จะสามารถชดเชยระยะเวลา อัตราเงินเฟ้อ ความเสี่ยงต่างๆ และสามารถสร้างความมั่งคั่งให้เราในอนาคตได้ ตัวอย่างเช่น การที่เรานำเงินไปฝากกับธนาคารเพื่อรับดอกเบี้ย เงินก็คือสินทรัพย์ ผลตอบแทนก็คือดอกเบี้ย ความเสี่ยงก็คือการที่เรานำเงินไปฝากธนาคาร สังเกตว่าทุกคนคงเคยนำเงินไปฝากธนาคาร การฝากธนาคารก็เป็นการลงทุนอย่างหนึ่งที่ทุกคนก็เคยทำมาแล้ว หรืออีกตัวอย่างคือ การซื้อทองมาเก็บไว้เมื่อราคามูลค่าของทองเพิ่มสูงขึ้น เราก็นำไปขายทำกำไรจากส่วนต่างของราคา กำไรนั้นแหละเรียกว่าผลตอบแทน แต่มูลค่าของทองนั้นมีความผันผวนของราคาเช่นกัน ราคาทองอาจเพิ่มขึ้นหรืออาจลดลงตามภาวะเศรษฐกิจหรือปัจจัยอื่นๆ หากคุณซื้อทองตอนที่ทองราคาแพงแล้ววันหนึ่งราคาก็ปรับตัวลงมา ถ้าขายคุณก็ขาดทุน นั่นก็คือความเสี่ยง
และสังเกตุว่า การลงทุนทุกอย่างย่อมมีความเสี่ยง เสี่ยงที่จะไม่ได้รับผลตอบแทนที่คาดหวังไว้ เพราะการที่เรานำเงินไปลงทุนนั้นเราก็คาดหวังผลตอบแทนที่มากๆ แต่เราก็ต้องกลับแลกกับความเสี่ยงที่มากขึ้นเช่นกัน (High risk High return) แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้ถ้าเรารู้จักการบริหารความเสี่ยงให้ถูกต้อง เรามาดูกันว่าการบริหารความเสี่ยงสามารถทำได้อย่างไร
หลายคนคิดในใจว่า เมื่อไหร่มันจะบอกว่า มีอะไรที่ลงทุนได้บ้าง กูอุตส่าอ่านมาตั้งนาน
แต่เดี๋ยวก่อนการที่คุณจะลงทุนได้คุณก็ต้องรู้ว่าการลงทุนมันคืออะไร การลงทุนมันมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร และความเสี่ยงคืออะไร หากคุณไม่รู้เรื่องเหล่านี้ สุดท้ายคุณลงทุนในอะไรก็แล้วแต่คุณก็เจ๊ง นอกจากคุณมีบุญมีวาสนาเท่านั้นที่ลงทุนไปแบบไม่รู้เรื่องแล้วรวยพลิกชีวิต เอาเรามาเข้าเรื่องกันต่อ ต่อไปเรามาดูกันว่าการบริหารความเสี่ยงสามารถทำอย่างไรได้บ้าง
การบริหารความเสี่ยงในการลงทุน
การบริหารความเสี่ยงในการลงทุน คืออะไร มันก็คือ วิธีการในการลงทุนที่จะทำให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยลดโอกาสขาดทุนให้เหลือน้อยที่สุด
เพื่อให้ไม่เป็นการเสียเวลา เรามาดูกันว่าวิธีการเป็นอย่างไรบ้าง
1. การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน (Asset Allocation) เราต้องมีการจัดสรรสินทรัพย์การลงทุน โดยให้ผู้ลงทุนลงทุนหลายสินทรัพย์ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง เพราะสภาวะเศรษฐกิจ ข่าวต่างๆ รวมถึงมาตราการต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อสินทรัพท์ในการลงทุนทั้งสิ้น ตัวอย่างปัจจุบัน การแพร่ระบาดของโควิดทำให้ดัชนีหุ้น และราคาหุ้นหลายตัวตกลงมา แต่กลับกันพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้กลับให้ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หรือยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟูราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้น ราคาทองอาจลดต่ำลง ดังนั้นเราไม่ควรลงทุนอยู่กับสินทรัพย์สินทรัพหนึ่ง เราก็ควรกระจายความเสี่ยงเพื่อลดการขาดทุน
2. การคัดเลือกหลักทรัพย์ การเลือกหลักทรัพย์ที่จะไปลงทุนนั้นมันขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่เรารับได้ ก่อนที่จะไปลงทุนอะไรเราก็ต้องรู้ว่าตนเองว่ายอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน เพราะหลักทรัพย์มีตั้งแต่ระดับความเสี่ยงต่ำไปจนถึงระดับความเสี่ยงสูง การยอมรับความเสี่ยงของหลักทรัพย์ หมายถึง การยอมรับการขาดทุนในการลงทุนในหลักทรัพย์นั้น ดังนั้นเราต้องประเมินความเสี่ยงของตนเองก่อนที่จะไปลงทุนในหลักทรัพย์ใด ตัวอย่าง คุณประเมินตัวเองว่าคุณสามารถรับความเสียงได้น้อย คุณก็อาจจะไปลงทุนใน เงินฝากธนาคาร พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ หรือถ้าคุณรับความเสี่ยงได้สูง คุณก็อาจไปลงทุนใน หุ้นสามัญ ทองคำ และปัจจุบันที่กำลังฮิตอย่าง คริปโตโคเรนซี้ เป็นต้น คุณสามารถหาแบบประเมินความเสี่ยงได้ในแบบประเมินความเสี่ยงที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้จัดทำขึ้น ได้ที่ https://www.set.or.th/education/th/online_classroom/risk.html
3. การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost-Average) เป็นทางออกหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากจังหวะการซื้อขายให้นักลงทุนได้ โดยการแบ่งเงินทุนทยอยซื้อหลักทรัพย์ที่หมายตาไว้ด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันทุก ๆ เดือน ไม่ว่าสภาพตลาดจะดีหรือแย่อย่างไรก็ให้ซื้อตามระบบ DCA ที่ได้ตั้งไว้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในระยะยาวจะทำให้นักลงทุนซื้อหลักทรัพย์นี้ได้ในราคาต้นทุนที่ถัวเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการลงทุน โดยไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของราคาตลาด และ ขจัดความเสี่ยงจากการจับจังหวะเวลาผิดพลาดทิ้งไป แต่คุณก็ต้องเลือกสินทรัพย์ที่มีโอกาศเติบโตในอนาคตด้วย ไม่ใช้ไป DCA ในสิ่งที่ต่อไปในอนาคตอาจจะไม่เติบโตแล้ว
4. การใช้ระยะเวลา หลักทรัพย์บางอย่างการลงทุนในระยะเวลาที่สั้นก็อาจจะมีความผันผวนด้านมูลค่าหรือราคา การลงทุนจึงต้องใช้ระยะเวลาเพื่อลดความผันผวนถึงจะมีผลตอบแทนสูงขึ้น แต่คุณก็ต้องเลือกหลักทรัพทย์ที่ไปลงทุนก่อนว่าหลักทรัพย์ใดสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาวหรือในอนาคต เช่น คุณลงทุนในหุ้นบริษัท A ในราคาหุ้นละ 30 บาท จำนวน 1000 หุ้น ในระยะเวลา 10 ปี บริษัท A ได้ขยายกิจการ ได้ไปลงทุนในสิ่งต่างๆ บริษัท A มีการเติบโต มีกำไร ราคาหุ้นจึงปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็นหุ้นละ 60 บาท แสดงว่าคุณได้ลงทุนในบริษัท A 30000 บาท ระยะเวลาผ่านไป10 ปี กำไรจากการลงทุนหุ้นในบริษัท A เป็น 30000 บาท เนื่องจากหุ้นราคาเพิ่มขึ้น 30 บาทเป็น 60 บาท กำไรเพิ่มขึ้น 100% รวมทั้งต้นทุนและกำไร 60000 บาท แถมบริษัท A ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมาก็จ่ายเงินปันผลที่มาจากกำไรของบริษัททุกปี จึงทำให้คุณมีผลตอบแทนสูงที่ขึ้นจากเงินปันผล และส่วนต่างราคา
สรุป
การลงทุน คือ การนำเงินไปต่อยอดเงินให้เกิดดอกผล เพื่อสามารถสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้เราในอนาคตได้
ความเสี่ยง คือ การที่จะไม่ได้รับผลตอบแทนที่หวังไว้จากการลงทุน
การบริหารความเสี่ยง มี 4 วิธี
1. จัดสรรค์สินทรัพย์ ไม่ลงทุนอยู่ในสินทรัพย์เดียว
2. การเลือกหลักทรัพย์ เลือกหลักทรัพย์ตามความเสี่ยงที่เรารับได้ เพื่อให้เราลงทุนได้อย่างมีความสุข
3. ถัวเฉลี่ยต้นทุน ลงทุนถั่วเฉลี่ยเงินลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างวินัย และลดความผันผวนของราคา
4. ใช้ระยะเวลา การลงทุนต้องใช้ระยะเวลาในการลงทุนเพื่อสะสมมูลค่าลงทุน ซื้อปุ๊บขึ้นปั้บคงจะหายาก
หากคุณเข้าใจแล้วว่าเบื้องต้นแล้วว่า การลงทุนคืออะไร คุณก็สามารถศึกษาและเริ่มลงทุนได้แล้ว แต่จำไว้เลยว่า การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน ดังนั้นการลงทุนในหลักทรัพย์จะต้องศึกษาข้อมูลหลักทรัพย์ให้ดีเสียก่อน
ขอฝากคำนี้เอาไว้
“อย่าใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน – Don't put all your eggs in one basket” เพราะถ้าเราวางไข่ 100 ฟอง ในตะกร้าใบเดียว อาจถือไม่ไหว โดนชนหกล้ม ตะกร้าตกไข่แตกหมด เช่นกัน การลงทุนถ้าไม่กระจายความเสี่ยง ถือหุ้นบริษัทเดียวเต็มพอร์ต พลาดท่าผิดทางโอกาสเสียหายขาดทุนหมดตัว
โดย วอเรน บัพเฟต นักลงทุนหุ้นชื่อดัง
ฝากติดตามเพจเด็กขาดหุ้น ใน Blockdit และ facebook
#ชีวิตคือการลงทุน
#เด็กขาดหุ้น
โฆษณา