Thai Optical Group บริษัทไทย ผู้ผลิตเลนส์แว่นตาระดับโลก
30,153 ล้านบาท คือมูลค่าการส่งออกเลนส์แว่นตาของประเทศไทย
ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2564
ซึ่งเติบโต 25% จากช่วงเดียวกันของปี 2563
รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกเลนส์แว่นตาอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศจีน
โดยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของบริษัทเลนส์แว่นตาชั้นนำของโลก ทั้ง Essilor ของฝรั่งเศส
และ Hoya ของญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีเพียงแค่บริษัทของต่างประเทศเท่านั้น
ยังมีบริษัทไทยที่เป็นผู้ผลิตเลนส์แว่นตา ส่งออกไปยังตลาดโลกด้วย
บริษัทนั้นคือ ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
ใช้ชื่อย่อว่า “TOG”
เรื่องราวของ TOG เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
แว่นตาเป็นเหมือนอวัยวะที่ 33 สำหรับใครหลายคน
ประชากรผู้ใหญ่ในยุโรปตะวันตกกว่า 60% สวมใส่แว่นตาเป็นประจำ
ส่วนคนอเมริกันสวมใส่แว่นตาราว ๆ 63% โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
สำหรับประเทศไทย ที่ในปัจจุบันเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แล้ว
มีผู้สูงอายุ ที่อายุมากกว่า 60 ปี กว่า 20% ของประชากร และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
เรื่องนี้ก็นับว่าส่งผลให้ความต้องการสวมใส่แว่นตาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนประกอบหลัก ๆ ของแว่นตา ประกอบไปด้วย กรอบแว่นตา และเลนส์แว่นตา
กรอบแว่นตา ถูกครองตลาดโดย บริษัท Luxottica ของอิตาลี ซึ่งปัจจุบันได้ควบรวมกับบริษัทผลิตเลนส์แว่นตา Essilor จากฝรั่งเศส และกลายเป็น EssilorLuxottica บริษัทแว่นตาที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ส่วนเลนส์แว่นตา ผู้นำตลาดโลกหลัก ๆ คือ บริษัท Essilor จากฝรั่งเศส, Hoya จากญี่ปุ่น
และ Zeiss จากเยอรมนี ทั้ง 3 บริษัท มีส่วนแบ่งตลาดราว ๆ 60%
ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 40% จะเป็นการแข่งขันระหว่างบริษัทผู้ผลิตเลนส์อิสระ ที่มีประมาณ 100 รายทั่วโลก
หนึ่งในนั้นคือ บริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TOG บริษัทผลิตเลนส์แว่นตาสัญชาติไทย..
จุดเริ่มต้นของ TOG ย้อนกลับไปช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี 2494
2 พี่น้องครอบครัวประจักษ์ธรรม ได้เปิดร้านขายแว่นตา “นำศิลปไทย” ในย่านบ้านหม้อ ถนนเจริญกรุง
ด้วยความที่มีทักษะในเชิงช่าง เพราะเคยทำงานในร้านนาฬิกามาก่อน หลังเปิดร้านแว่นตาไม่นานก็ได้ขยายธุรกิจมาสู่การผลิตเลนส์กระจก โดยก่อตั้ง บริษัท อุตสาหกรรมแว่นตาไทย จำกัด หรือ TOC ในปี 2505 ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเลนส์กระจกรายแรกของประเทศไทย ด้วยทุนจดทะเบียน เริ่มต้น 50 ล้านบาท
ต่อมาเมื่อกำลังการผลิตสูงเกินกว่าความต้องการภายในประเทศ จึงเริ่มส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเริ่มต้นจากประเทศอิหร่าน ซึ่งเป็นพ่อค้าคนกลางส่งต่อไปยังยุโรปอีกทอดหนึ่ง
แต่เมื่ออิหร่านเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี 2522 ทำให้บริษัทต้องติดต่อลูกค้าเอง จนได้ลูกค้ารายแรกจากประเทศเยอรมนี และค่อย ๆ ขยายคู่ค้า จนส่งออกไปยุโรปได้อีกครั้ง
จุดเปลี่ยนสำคัญ คือการที่เลนส์พลาสติกได้รับความนิยมแทนที่เลนส์กระจก จึงนำมาสู่การตั้งบริษัทเพื่อผลิตเลนส์พลาสติกโดยเฉพาะ คือ บริษัท ไทยโปลีเมอร์เลนส์ จำกัด หรือ TPL
ในปี 2534 และเป็นผู้นำในการผลิตเลนส์พลาสติกนับตั้งแต่นั้นมา
ต่อมาไทยโปลีเมอร์เลนส์ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ไทยออพติคอล กรุ๊ป หรือ TOG และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2549
ปัจจุบัน TOG อยู่ภายใต้การบริหารของทายาทครอบครัวประจักษ์ธรรม
โดยมีคุณธรณ์ ประจักษ์ธรรม เป็น CEO
TOG เป็นผู้นำในการผลิตเลนส์พลาสติก ตามคำสั่งซื้อภายใต้แบรนด์ของลูกค้า หรือ OEM
และมีแบรนด์เลนส์เป็นของตัวเอง 13 แบรนด์ ที่มีคุณสมบัติหลากหลายแตกต่างกันไป เช่น
- One เลนส์ชั้นเดียวเฉพาะบุคคล
- Discovery เลนส์โปรเกรสซีฟ เป็นเลนส์หลายชั้นที่ไร้รอยต่อ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคมชัดในทุกมุมมอง ลดการบิดเบือนด้านข้าง เพื่อให้ภาพเป็นธรรมชาติมากที่สุด
- Freedom เลนส์โปรเกรสซีฟ ที่มีโครงสร้างเลนส์อยู่ด้านหลัง เพื่อเพิ่มความคมชัด และความสบายในการมองเห็น
- Maxima เลนส์โปรเกรสซีฟที่ออกแบบเฉพาะ สำหรับผู้ทำงานออฟฟิศ หรือเน้นการทำงานระยะใกล้-กลางเป็นหลัก
ถึงแม้รายได้และกำไรจะลดลงบ้างในช่วงปี 2563 เนื่องจากวิกฤติโควิด 19 ระลอกแรก
ที่ส่งผลต่อความต้องการที่ลดลง แต่ก็กลับมาเติบโตอีกครั้งในปี 2564
รายได้และกำไรของ บริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ปี 2562 รายได้ 2,019 ล้านบาท กำไร 132 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้ 1,849 ล้านบาท กำไร 69 ล้านบาท
ปี 2564 (9 เดือน) รายได้ 1,727 ล้านบาท กำไร 234 ล้านบาท
สัดส่วนรายได้ของ TOG ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 มาจาก
- เลนส์พลาสติกแบบธรรมดา 27.2%
- เลนส์พลาสติกมูลค่าเพิ่ม 39.7%
- เลนส์สั่งฝนพิเศษ 27.1%
- เลนส์กระจก สินค้า และบริการอื่น 6.0%
โดยเน้นการส่งออกไปยังต่างประเทศเป็นหลัก สัดส่วนถึง 95% ของรายได้ทั้งหมด
สัดส่วนรายได้ตามภูมิภาคของ TOG ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 แบ่งได้เป็น
- ยุโรป 29.6%
- ออสเตรเลีย 26.9%
- อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ 24.5%
- เอเชียและแอฟริกา รวมประเทศไทย 19.0%
สำหรับตลาดในประเทศ 5% นั้น TOG จำหน่ายเลนส์แว่นตาผ่าน “ร้านหอแว่น” หรือ บริษัท หอแว่นกรุ๊ป จำกัด ซึ่งมีผู้ถือหุ้นเป็นตระกูลประจักษ์ธรรม เจ้าของเดียวกันกับ TOG และผ่านตัวแทนค้าส่งอื่น ๆ อีกประมาณ 500 รายทั่วประเทศ
สำหรับในอนาคต TOG คาดว่าจะเติบโตตามสังคมผู้สูงอายุ โดยเฉพาะตลาดในยุโรป ที่มีผู้ใส่แว่นตากว่า 60% และมีความต้องการเลนส์เฉพาะตัวที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเลนส์สั่งฝนพิเศษ ที่ทำให้มีค่าสายตาเหมาะสมกับผู้ใช้งานมากที่สุด และมีราคาสูงที่สุด
อย่างไรก็ตาม อีกจุดมุ่งหมายที่สำคัญของ TOG คือการเพิ่มสัดส่วนลูกค้าในประเทศไทยให้มากขึ้น จากสัดส่วน 5% ให้กลายเป็น 15% ตามเทรนด์สังคมผู้สูงอายุที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น
โดยภายในปี 2574 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า สังคมไทยจะมีผู้สูงอายุ ที่อายุมากกว่า 60 ปี เป็นสัดส่วนถึง 28% ของประชากรทั้งหมด..
เป็นที่น่าสนใจว่า ประเทศไทยมีบริษัทผลิตเลนส์แว่นตา ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งนับเป็นเครื่องการันตีถึงคุณภาพ และความน่าเชื่อถือ สะท้อนมาถึงมูลค่าของบริษัทที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนในช่วงต้นเดือนมกราคม TOG มีมูลค่าบริษัท 5,000 ล้านบาท
สังคมผู้สูงอายุที่จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ ทั้งจากในประเทศไทย และทั่วโลก
ถึงแม้จะส่งผลกระทบต่อการบริโภคในหลาย ๆ ภาคธุรกิจ
แต่สำหรับ TOG แล้ว ก็อาจเป็นโอกาสครั้งใหญ่ในการเติบโต..
หมายเหตุ: บทความนี้ไม่ได้ชี้นำให้ซื้อหุ้นตัวนี้ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
References
- ●
- ●
- ●
- ●
- ●
- ●
- 37
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
