10 ม.ค. 2022 เวลา 13:18 • ปรัชญา
อศุภะ
การนั่งสมาธิ กายนิ่ง จิตนิ่ง เพื่อไม่ให้อารมณ์พาจิตไปเตลิดเปิดเปิงไปที่โน้นที่นี่ โดยที่เรานั่งแล้วจะไม่ได้อะไรเลย หาความสุขไม่ได้ มีแต่เคยสร้างแต่ความทุกข์ เราก็เกิดอารมณ์มีแต่ความทุกข์เกิดขึ้น เราอยากจะมีความสุขก็อยู่คำว่านิ่งนั้นเองนี่ คือ เรื่องราวต่างที่เราควรกระทำให้ได้
คราวนี้ จะไปถามใครต่อใครว่า นิ่งแล้วได้อะไร นิ่งแล้วมีความสุขมั้ย มีปัญญามั้ย มีปัญญา เรื่องการจะพิจารณา เรื่องความโลภโกรธหลง กายนี่เป็นกายอศุภะ เป็นกายโน้นกายนี่ เมื่อจิตไม่นิ่งมันก็ อุปโลกน์ขึ้นมาว่า เน่าหนอนอย่างั้นตายแล้ว จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เกิดขึ้นมัน อุปโลกน์ขึ้นมา มันไม่เห็นเป็นตัวตน มันไม่เห็นจิ๖ของตัวเอง จิตมันต้องออกไปจากร่างนี้ จิตมันก็ต้องไปยืนอีกที่หนึ่ง แล้วก็มองดูร่างของตัวเองให้ได้
นั่นคือ กายนิ่ง จิตนิ่ง ที่สามารถนิ่งๆจริง แล้วจิตนั้นเป็นศูนย์ขึ้นมา เป็นศูนย์ขึ้นมา แล้วเราอยากจะดูกายของเรา เราไปยืนอยู่ข้างๆกายของเราไปมองดู อยากจะปลงเป็นร่างอศุภะ หรือ ร่างที่ตายแล้ว ว่ามันมีลักษณะแบบไหน ที่เราควรจยึด นั้นแหละ คือ สิ่งที่จิตทำได้ ไม่ใช่อุปโลกน์กันมาว่า ร่างนี้เน่าหนอนที่ไม่ควรจะไปยึด เดี๋ยวจะแก่เฒ่าชรา หรือจะเจ็บป่วย มันอุปโลกน์ทั้งนั้น มันไม่ใช่ของจริง เราต้องเอาจิตของเราไปวาง ไปยืนอยู่ในตัวกระทำอีกที่หนึ่ง แล้วมองขึ้นมา มองดูที่ร่างของเรา เราจะให้มันเจ็บป่วย หรือ แก่เฒ่าชราอย่างไร เราก็จะรู้จักว่าเราควรจะยึดอยู่ หรือไม่ยึดอยู่
..ให้ปลงอศุภะอย่างไร ปลงไปปลงมา มันก็ยึดอยู่นั้นแหละ เพราะอารมณ์มันมี…หยุดซิ หยุดให้มันนิ่งให้ได้ ไม่มีอารมณ์ นั่นแหละ คือ …จิตที่เป็นพระ …จิตที่ไม่มีอะไร (คล้ายเรื่องราว ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธะเจ้า ตรัสบอก องคุลีมาร …เราหยุดแล้ว …แต่เธอซิ..ยังไม่หยุด..)
ถ้าจิตยังมีอะไร อุปโลกน์ขึ้นมา มันก็เป็นจิตของอารมณ์กรรมตัวกระทำนั่นเอง ไม่มีไปไหน พอพูดกันไปกรรมโน้นกรรมนี้ กรรมก็อยู่ตัวเรา บุญก็อยู่ตัวเรา แต่เราไม่ค้นคว้าหาไม่เจอว่า คำว่ากรรมนี่เราไปเอาอะไรมาบ้าง ไปเอาวาจามาบ้าง เอาสิ่งของมาบ้าง มีใส่อยู่ที่จิตของเรา แต่มันเป็นสีเป็นภาพที่ลงไปในจิตของเรา ที่ตาเรามองเห็นอย่างนี้เป็นต้น แล้วก็ลงไปบันทึกเข้าไว้ นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องบุญน่ะ
มีน้องที่อยู่ด้วยกันส่งภาพอศุภะมาให้เรา บอกว่าไม่เอา ไม่อยากดู แต่เค้าก็ผมหวังดีส่งมาให้ กลับถึงบ้าน นั่งกินข้าว ก็เห็นเป็นรูปศพ ลอยอยู่ตรงหน้า เราก็พยายามบอกตัวเอง ว่าเราไม่ดู เวลาตอนนี้ เราจะกินข้าว ประทังสังขารไม่ใช่เวลาไปดูเรื่องที่ลอยตรงหน้า มีพระที่นับถือ ท่านเล่าให้ฟัง เวลาญาติโยมนิมนต์ไปฉัน บางที่ก็มีปลาทอด นึ่งบ้างทอดบ้าง เป็นตัวๆ ท่านบอกว่า มองไปที่ปลาทอดนั้น เห็นเป็นคนนอนอยู่ มื้อนั้นท่านก็ต้องหยุดฉัน งดอาหารที่ญาติโยมถวาย
เรื่องมรณานุสติ เป็นเรื่องของการเตือนสติ เรื่องราวของชีวิตที่ไม่รู้ว่าจบ ลมหายใจจะหยุดตรงไหน สถานที่ใด เค้าเตือนสติให้รีบสร้างคุณความดี ทานบุญบารมี ให้รีบกระทำนะ ทำในขณะที่สังขารนี้ยังดี มีอาการครบสามสอง สามารถกระทำขึ้นด้วยกายนี้ ด้วยสองมือที่ใช้อยู่เป็นปกติ สองมือนี้ ไปสร้างอะไรไว้บ้าง ก็นำสองมือนี้มาพนม กราบพระ สวดมนต์ไว้พระ ถวายสละสิ่งของที่ไปหามาด้วยความโลภโกรธหลง เอาของๆโลกมายึดๆ จิตมันก็เลยแบกของที่ยึดเข้ามา มันก็ทุกข์ เค้าจึงบอกให้เอาปัจจัยที่หามาด้วยความเหนื่อยยากของกายนั้น สละออกไปให้เป็นทานบุญบารมี เหมือนจิตเราได้สละความโลภโกรธหลงที่ใช้กายไปเสาะแสวงหามา ต้องใช้กายวาจาใจไปตามอารมณ์กรรม กรรมก็เลยมาสะสมที่จิตใจของตน
เราก็คงเคยเห็นบุคคล ที่อยู่กับความตาย ทำเป็นอาชีพเข้าไปเกี่ยวข้องกับความเกิดแก่เจ็บความตาย ทำไมเค้าไม่ได้มีการพัฒนาทางด้านจิตใจ เค้าได้เหตุผลอะไรดี ที่จะไประมัดระวัง ละเรื่องราว ความโลภโกรธหลง หรือ สร้างคำว่าบุญกุศลบารมีขึ้นมา เพื่อจะช่วยเหลือจิตของตัวเองก่อนที่จะจากโลกนี้ไป มีแต่มุ่งมั่นเสาะแสวงหาปัจจัย มาเพื่อหล่อเลี้ยงกายของตน ใ้ห้กายนี้มีความสุขความสบาย ส่วนเรื่องจิตใจอารมณ์ของตน ก็ไม่เคยเอามาพิจารณาแก่ตนอะไรเลย มันใช้กายวาจาใจไปตามอารมณ์เท่านั้นเอง ตราบใดที่จิตใจยังว้าวุ่น ทะเยอทะยาน ด้วยความโลภ ก็มุ่งมั่นเสาะแสวงหาไม่รู้จักพอ ไม่คำนึงว่าวันหนึ่งข้าต้องตายเหมือนกัน ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง เอาไปไม่ได้ ไม่ได้เอามาคิดพิจารณาอะไรเลย เห็นคนตาย ก็เป็นเรื่องธรรมดาจนเคยชิน รู้ว่าแก่แล้วตาย รู้แค่นี้พอล่ะ กับการเกิดเป็นมนุษย์ จิตก็เลยไม่ได้แก้ไขอะไรเลย มาจากไหนก็กลับไปสู่ที่เก่าๆ อบายภูมิ
โฆษณา