12 ม.ค. 2022 เวลา 18:25 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Scoop พิเศษ : 10 บทเรียนชีวิตสร้างแรงบันดาลใจ จาก Hometown Cha-cha-cha
1. ‘ความมั่งคั่ง’ และ ‘ความสำเร็จ’ ไม่ได้การันตีความสุขในชีวิต
Hometown Cha-Cha-Cha เริ่มต้นด้วยการเดินทางกลับไปเยี่ยมสถานที่แห่งความทรงจำถึงแม่ผู้ล่วงลับของ ‘ฮเยจิน’ (รับบทโดย ชินมินอา) ทันตแพทย์สาวสุดเพอร์เฟ็กต์จากกรุงโซล หลังทะเลาะกับเจ้านายและตัดสินใจลาออกทันทีเธอก็ซื้อรองเท้ารุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น เป็นของขวัญให้ตัวเอง คู่เดียวกับที่ทำให้เธอพบกับฮงดูชิก (รับบทโดย คิมซอนโฮ) หรือหัวหน้าฮงนั่นละ
นอกจากนี้เธอยังมีไลฟ์สไตล์หรูหราและชอบซื้อของฟุ่มเฟือย เธอจึงไขว่คว้าหาชื่อเสียง ความสำเร็จ และความมั่งคั่ง เพื่อให้เป็นที่นับหน้าถือตาของเพื่อนร่วมรุ่น ซึ่งมักจะมีพฤติกรรมดูถูกและกดขี่คนอื่นนั่นเอง
กระทั่งวันหนึ่งเธอตัดสินใจมาเปิดคลินิกที่หมู่บ้านกงจินและเริ่มใกล้ชิดกับหัวหน้าฮง หนุ่มวัย 35 ปีที่ไม่มีการงานเป็นหลักแหล่ง แต่กลับเป็นที่พึ่งพาและเป็นที่รักของชาวหมู่บ้านกงจินอย่างมาก
หัวหน้าฮงบอกเธอว่า “เงินและความสำเร็จไม่ใช่สิ่งมีค่าในชีวิตเสมอไป ความสุข ความพึงพอใจ ความรัก และสันติภาพ ก็มีความหมายสำหรับชีวิตเช่นกัน” นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฮเยจินค่อยๆ เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อความสำเร็จในชีวิต
2. เห็นอกเห็นใจและปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม
ในซีรีส์เรื่องนี้จะเห็นหัวหน้าฮงเป็นผู้ชายเสน่ห์ล้นเหลือ ยิ้มเก่ง และมีทักษะรอบตัวหลายด้าน จนเราทึ่ง เรียกว่า “เป็นทุกอย่างให้ชาวกงจินแล้ว” จริง ๆ เลยละ นั่นเกิดจากการเป็นคนฉลาด เข้าใจโลก มองโลกในแง่ดี และมีทัศนคติที่ดีต่อผู้คน จะเห็นได้จากพฤติกรรมและคำพูดของเขามักแฝงข้อคิดดี ๆ เกี่ยวกับชีวิตไว้เสมอ
แม้หัวหน้าฮงจะเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องเผชิญเรื่องราวดราม่ามากมายในชีวิต แต่เขาก็เรียนรู้เผชิญกับความจริงอันโหดร้ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม และปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเคารพ โดยเฉพาะประโยคเด็ดที่หลายคนชื่นชอบคือ “ชีวิตไม่ได้ยุติธรรมกับทุกคนเสมอไป บางคนใช้ทั้งชีวิตบนถนนที่ราบเรียบ ขณะที่บางคนแม้จะวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่แต่ก็พบกับทางตัน”
คำพูดนั้นหัวหน้าฮงต้องการจะสื่อว่า ทุกคนมีประสบการณ์ชีวิต ต้นทุน และการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน สิ่งที่เราคิดว่าง่าย ไม่จำเป็นต้องง่ายสำหรับผู้อื่นเสมอไป มันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องให้ความเห็นอกเห็นใจและปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างเท่าเทียม
3. ชีวิตที่มี ‘อิสระ’ ไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่เพียงลำพังบนโลก
การใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ ไม่ได้หมายความว่าต้องปฏิเสธคนอื่นๆ ที่เข้ามาในชีวิตของคุณให้ออกไปจากชีวิต เพราะไม่มีใครสามารถพึ่งตนเองได้อย่างแท้จริงและใช้ชีวิตอย่างดิ้นรนเพียงลำพัง มันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะเข้าใจคุณค่าและความสำคัญของการมีใครสักคนให้พึ่งพา โดยเฉพาะในช่วงเวลาชีวิตตกต่ำสุดๆ บางครั้งคนที่เราไม่ได้คาดหวังก็อาจเป็นคนช่วยเหลือเราในยามลำบากก็ได้
4. ไม่มีสิ่งใดง่ายในตอนเริ่มต้น แต่จงมุ่งมั่นลงมือทำอย่างไม่ยอมแพ้
บางครั้งชีวิตก็มอบโอกาสที่ไม่คาดฝันให้เราก้าวไปข้างหน้าอย่างยิ่งใหญ่ แต่อย่าคาดหวังความสบายในก้าวแรก เหมือนเช่นฉากหนึ่งที่โปรดิวเซอร์จีกล่าวว่า “ไม่มีอะไรง่ายในตอนเริ่มต้น แม้ว่าเราจะแค่สวมรองเท้าใหม่หรือมีความสัมพันธ์ที่โรแมนติกก็ตาม”
นั่นหมายถึง เรื่องง่ายๆ อย่างการสวมรองเท้าคู่ใหม่ก็อาจจะสร้างบาดแผลจากการโดนรองเท้ากัด หรือสวมใส่จริงแล้วไม่สบายอย่างที่คิด เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ ในชีวิตที่คนเราต้องเจออุปสรรคในการเริ่มต้นเสมอ ดังนั้นจึงไม่ควรล้มเลิกความพยายามหรือถอดใจง่ายๆ ตั้งแต่ครั้งแรก แต่ควรมุ่งมั่นและทุ่มเทเพื่อความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า
5. การเป็นพ่อแม่ที่ดี คือการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อลูก
จะเห็นได้ว่า ฮเยจินให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากๆ รวมถึงการกินดีอยู่ดีเหมือนที่เธอบอกกับคุณยายกัมรีในตอนต้นๆ ของเรื่อง คุณยายกัมรีมีปัญหารากฟันและปล่อยทิ้งไว้ไม่ยอมรักษาทำให้กินอะไรก็ไม่อร่อย แม้แต่ยอมตัดใจจากของโปรดอย่าง ‘ปลาหมึก’ ที่ทั้งเหนียวและเคี้ยวยาก เมื่อคุณยายกัมรีไปหาฮเยจินและเธอแนะนำให้รักษาฟัน แต่คุณยายกลับปฏิเสธเพราะกลัวเปลืองเงินและเกรงใจลูกชายที่ต้องส่งเงินมาให้แม่ทุกเดือน
แต่แล้วฮเยจินกลับพูดจาตรงไปตรงมา (ซึ่งมันรุนแรงต่อหัวใจของคุณยาย) ทำให้คุณยายตัดสินใจไม่ทำฟันและไม่ยอมกลับไปร้านของฮเยจิน หัวหน้าฮงจึงไปเจรจาต่อรองกับฮเยจินและยินดีจ่ายค่าทำฟันให้กับคุณยายกัมรี แต่เธอกลับบอกว่า “คุณรู้ไหมว่า การเป็นพ่อแม่ที่ดีหมายความว่าอย่างไร?” คำถามนี้ทำให้หัวหน้าฮงถึงกับขมวดคิ้วคิดหนัก ก่อนที่เธอจะบอกต่อว่า “นั่นคือการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อที่ลูกๆ หลานๆ จะไม่ได้ต้องมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลยามเจ็บป่วย และช่วยประหยัดเงินของลูก ๆ ได้ด้วย”
ประเด็นนี้ฮเยจินคิดถึงแม่ผู้จากไปตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอจึงอยากให้พ่อแม่ทุกคนดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ไม่เจ็บป่วย จะได้อยู่กับลูกหลานไปนานๆ และการรักษาตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยประหยัดค่ารักษาพยาบาลได้ดีกว่าการปล่อยให้ป่วยหนักได้ด้วย
6. การเห็นคุณค่าในความพยายามของเด็กๆ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับพ่อแม่
หนึ่งในฉากประทับใจและกลายเป็นข้อคิดดีๆ สำหรับการเลี้ยงลูก คือฉากที่หนูน้อย ‘จางอีจุน’ (รับบทโดยเด็กชาย กีอึนยู ) ลูกชายวัย 9 ขวบของผู้ใหญ่บ้าน ‘ยองกุก’ (รับบทโดย อินกโยจิน ) และผู้นำชุมชน ‘ฮวาจอง’ (รับบทโดย อีบงรยอน) ชนะการแข่งขันคณิตศาสตร์ ฮวาจองและยองกุกจึงพาอีจุนไปกินข้าวนอกบ้านเพื่อฉลองความสำเร็จ
แต่แทนที่ฮวาจองจะบอกว่า นี่คือการเฉลิมฉลองความสำเร็จของลูกชาย เธอกลับบอกว่า อาหารมื้อนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อชื่นชมในความพยายามของลูก “แม่ภูมิใจในตัวลูกที่ชนะการแข่งขัน แต่ถึงลูกจะไม่ชนะ เราก็ยังกินข้าวนอกบ้านด้วยกันอยู่ดี เพราะสิ่งที่เราเฉลิมฉลองคือความทุ่มเทของลูก สำหรับแม่มันสำคัญกว่าการชนะเสียอีก”
ดูเหมือนครอบครัวนี้จะให้ความสำคัญกับการกินข้าวด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา เพราะอีกหนึ่งฉากดราม่าน้ำตาท่วมในตอนท้ายของเรื่อง มาจากวันที่อีจุนเห็นพ่อกับแม่ของเขากลับมาคืนดีกัน เขาจึงหนีไปร้องไห้คนเดียวในสนามเด็กเล่นจนทุกคนตามหากันให้ทั่ว
เมื่อพ่อกับแม่มาถึงอีจุนก็สารภาพว่า เขามีความสุขมาก ๆ ที่เห็นพ่อแม่คืนดีกันและเขาไม่อยากให้น้ำตาทำให้เสียบรรยากาศ “ผมดีใจจนน้ำตาไหลจนกลัวว่า ถ้าร้องไห้พ่อแม่จะเสียใจ ที่จริงนอกจากวันเกิดหรือวันที่ไม่ได้รับรางวัล ผมก็อยากกินข้าวกับพ่อแม่ อยากให้เราอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน”
7. อย่ากังวลมากเกินไป หากจะซื้อของขวัญถูกใจให้ตัวเอง
การหาความสุขและการมอบของขวัญให้ตัวเอง หลังทุ่มเททำงานอย่างหนักอาจเป็นสิ่งที่หลายคนชื่นชอบ แต่บางคนก็แอบกังวลหากการมอบของขวัญให้ตัวเองจะดูเป็นการทุ่มทุนมากไปสักหน่อย เหมือนที่ฮเยจินลงทุนซื้อสร้อยเพชรราคาแพงกว่า 5.5 ล้านวอนเป็นของขวัญให้ตัวเอง (เธอเป็นแฟชั่นนิสต้าตัวจริง และชอบสะสมเพชรแท้) เพราะมันเป็นความสุขที่จับต้องได้สำหรับเธอ
แต่ลึกๆ แล้วฮเยจินแอบกังวลกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของหัวหน้าฮงอย่างมาก หลังจากที่ทั้งสองชวนกันไปเดทที่โซล และเธอก็แวะซื้อเครื่องประดับสุดหรูเป็นของขวัญให้ตัวเอง แต่แล้วเธอกลับเซอร์ไพร์สกับคำตอบของหัวหน้าฮง ซึ่งนอกจากจะไม่ตำหนิที่เธอใช้เงินฟุ่มเฟือย แล้วเขายังกล่าวด้วยว่า “คุณไม่ต้องกังวลว่าผมจะคิดยังไงในทุกการกระทำของคุณหรอก คุณแค่ใช้เงินที่ทำงานหามาอย่างหนักซื้อของขวัญให้ตัวเอง จะมานั่งเกรงใจผมทำไม ผมไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคุณอยากทำอะไรก็ทำเลย”
มีแฟนน่ารักขนาดนี้ก็คลั่งรักไปเลยสิคะ
8. ไม่จำเป็นต้องวางแผนทุกวินาทีในชีวิต
ระหว่างเดินทางกลับบ้านในคืนหนึ่ง ฮเยจินพูดขึ้นว่า “ฉันเป็นหนึ่งในคนที่วางแผนชีวิตทุกวินาที” ก่อนที่เธอจะสารภาพรักกับหัวหน้าฮง แล้วเธอก็เล่าด้วยว่า มีช่วงหนึ่งฉันเคยบันทึกเป้าหมายทั้งหมดของชีวิตลงในไดอารี่ ด้วยความหวังว่า การจัดเตรียมแบบแผนอย่างละเอียดจะดีที่สุดสำหรับฉัน ฉันใช้เวลามากมายโดยไม่จำเป็นเพื่อคิดทบทวนสิ่งที่ฉันควรทำในมหาวิทยาลัย ทั้งการงานและชีวิตในอนาคต
ด้วยความที่เป็นคนวางแผน เธอจึงรู้สึกเซ็งเมื่อเหตุการณ์บางอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คิดฝัน หรือไม่ได้อยู่ในแผนการที่วางไว้ตั้งแต่ต้น “เมื่อมองย้อนกลับไป ส่วนหนึ่งของฉันรู้สึกเสียใจที่มัวจดจ่อกับอนาคตจนไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน” นั่นจึงทำให้เธอเข้าใจว่า ชีวิตไม่จำเป็นต้องวางแผนอย่างละเอียด หรือตีกรอบตัวเองเสมอไป บางครั้งเราก็แค่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางที่ควรจะเป็นก็แค่นั้น
9. อย่ากลัวที่จะเซย์ ‘เยส’
เมื่อฮเยจินปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามโชคชะตา หลุดจากการวางแผนหรือตีกรอบการใช้ชีวิตเหมือนก้าวออกจาก Comfort Zone เพื่อเปิดรับการผจญภัย ความท้าทาย และโอกาสใหม่ๆ ในชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงเสมอไป เธอจึงค้นพบว่า สิ่งกล้าหาญที่สุดที่เราทำได้คือการตอบตกลงในทันที เหมือนการที่ฮเยจินตอบโต้อดีตเจ้านายด้วยการบอกว่า เธอจะเปิดคลินิกทันตกรรมของตัวเอง (ทั้งที่ตอนนั้นเธอกำลังขับรถจากกงจินกลับกรุงโซล และไม่มีแพลนนี้เลยด้วยซ้ำ)
นั่นเปิดโอกาสให้เธอค้นพบประสบการณ์ชีวิตใหม่ในกงจิน พบเจอกับผู้คนที่อบอุ่น จริงใจ และตกหลุมรักกับหัวหน้าฮง ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการตัดสินใจในเสี้ยววินาที
อีกครั้งตอนที่หัวหน้าฮงชวนฮเยจินวิ่งเล่นริมชายหาดตอนฝนตกจนร่างกายเปียกปอน ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบเอาเสียเลย หัวหน้าฮงพูดกับฮเยจินว่า “คุณต้องพบเจอกับสถานการณ์ไม่คาดฝันในชีวิต แม้ว่าคุณจะใช้ร่ม แต่คุณก็ยังเปียกปอน เมื่อถึงเวลานั้นแค่ยกมือขึ้นต้อนรับสายฝนก็พอ”
10.ความรักของพ่อแม่อยู่ใน ‘มื้ออาหาร’ ที่เราคุ้นเคย
อีกหนึ่งฉากสุดประทับใจต้องยกให้จดหมายของคุณยายกัมรีที่เขียนให้กับหัวหน้าฮง ในวันที่คุณยายลาจากโลกนี้ไปแล้ว เมื่อหัวหน้าฮงต้องเผชิญกับดราม่าใหญ่ในชีวิตและสูญเสียคุณยายกัมรี (รับบทโดย นักแสดงอาวุโส คิมยองอ๊ก) เขาก็พบจดหมายฉบับหนึ่งโดยบังเอิญในตระกร้าใส่ข้าวโพดที่คุณยายนำมาวางไว้หน้าบ้าน พร้อมกับข้อความว่า
“ดูชิก กินข้าวกินปลาหน่อยเถอะ ไม่ว่าจะมีเรื่องทุกข์ทรมานแค่ไหน แต่คนเราก็ต้องกินข้าวนะ แกมีแผลใจมาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่ฉันทำเพื่อแกได้ก็มีแต่กับข้าวกับปลาเท่านั้น แกกินกับข้าวฝีมือฉันจนตัวสูงใหญ่ รู้ไหมว่า ฉันภูมิใจมากขนากไหน ดูชิกจำที่แกเคยบอกฉันได้ไหมว่า สิ่งที่พ่อแม่ควรจะทำเพื่อลูกมากที่สุด คือการไม่เจ็บป่วย หัวอกคนเป็นพ่อแม่ก็ไม่ต่างกันหรอก ใจของพ่อแม่แทบแหลกสลายเมื่อลูกเจ็บป่วย
...ดูชิก แกเป็นทั้งลูกชายและหลานชายของฉัน ห้ามลืมเรื่องนั้นเด็ดขาดนะ ดูชิก คนเราต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางคนอื่นๆ บางครั้งการใช้ชีวิตก็ดูเหมือนแสนหนักอึ้ง แต่ถ้าเราเลือกจะอยู่ท่ามกลางคนอื่นๆ จะต้องมีใครสักคนแบกแกขึ้นหลัง เหมือนอย่างที่แกทำเพื่อฉันแน่นอน เพราะงั้นดูชิกอย่ามัวแต่ขังตัวเองไว้คนเดียวเลย กินข้าวฝีมือยาย แล้วรีบออกมาเถอะนะ”
ที่มา: Scoop พิเศษ : 10 บทเรียนชีวิตสร้างแรงบันดาลใจ จาก Hometown Cha-cha-cha
เผยแพร่: 22 ต.ค. 2564 16:19   ปรับปรุง: 22 ต.ค. 2564 16:19   โดย: ผู้จัดการออนไลน์
โฆษณา