Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ขบถ~ยาตรา
•
ติดตาม
16 ม.ค. 2022 เวลา 16:02 • นิยาย เรื่องสั้น
บทที่1 กมลานคร
"สวัสดีอาคันตุกะผู้มาเยือน"
ชายหนุ่มมองไปยังเสียงนั่น แสงทาบมายังเบื้องหลังผู้เป็นเจ้าของเสียง ปรากฏเงาตะคุ่ม เดินลักษณะแปลกจากคนทั่วไป
เมื่อเข้ามาใกล้ ลักษณะหลังงองุ้มจึงสำแดงเห็นชัด
⊙
แสงนั่นเริ่มสว่างจนเห็นโดยรอบ จากมืดสนิท
กลับเป็นห้องโล่งสีขาวโพลน
ชายชราผู้มีหลังค่อม ยิ้มอย่างดีใจ เหมือนได้เจอเกลอเก่าที่ห่างเหินมานานแสนนาน
ก๊อก..ก๊อก.. เสียงไม้เท้าสัมผัสพื้นดังก้อง
พื้นห้องกลับสลัวอีกครั้ง หลังจากสังเกตแววตาของชายหนุ่ม...คงยังไม่คุ้นชินกับความสว่างโดยฉับพลัน
"..ท่านเป็นใคร กระผมมาอยู่นี่ได้อย่างไร ที่นี่ที่ไหน .." ชายหนุ่มพูดสายตาที่จ้องมองชายชราอย่างไม่ไว้ใจ
"..โปรดอย่าตระหนกไป เราไม่ใช่ศัตรู เราเชื้อเชิญท่านมาดี แม้ว่าจะต้องแลกบางสิ่งที่มีค่าของเราเพื่อการแลกเปลี่ยนท่านมา"..
".ท่านพูดน่าฉงน ช่วยแจงคำตอบ ให้กระผมที"
"..ฟังนะ เรากับท่านอยู่คนละยุคสมัย ทับซ้อนกันอยู่ การดึงท่านผ่านกาลเวลามาอนาคต เราทำได้แต่ต้องใช้พลังงานมหาศาล แต่เราคิดว่ามันน่าจะคุ้ม
"..ท่านเอาตัวกระผมมาเพื่อประโยชน์อันใด เอากระผมกลับไปเถิด" ชายหนุ่มวิงวอน
ความจำครั้งสุดท้ายของเขาคือทันทีที่ก้าวเข้าไปในเต็นท์หลังจากกลับเดินป่าผาดอกเสี้ยวความรู้สึกเหมือนตกเหว สติสัมปชัญญะดับวูบ
⊙
ชายชราไม่ตอบ กลับใช้นิ้วสัมผัสไปในอากาศ ภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนแม้กระทั่งรอบตัวเขา ผู้คนเดินขวักไขว่ก็ไม่แตกต่างจากผู้คนในปัจจุบันมากนัก ต่างคนต่างถือลูกแก้วแวววาวอยู่ในมือ จ้องมองไปอย่างเพลิดเพลิน โดยหาสนใจสิ่งรอบข้างไม่ เขาเงยดูตึกที่ดูสูงระฟ้า ที่นี่ช่างน่าทึ่งไปหมด
"..โฮ้กกกก!!...." เขามองไปตามต้นเสียงนั่น เห็นชายผู้หนึ่งตัวเล็กมากลำพังคงสูงเพียงครึ่งของเขากระมัง ถูกรุมล้อมด้วยใครหลายๆคนที่สวมหน้ากาก จากเด็กหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์กลายเป็นซีดเซียว ดำคล้ำในบัดดล ชายหนุ่มตะลึงกับภาพที่เห็น
เขาถูกรังแก แต่ไม่มีใครข่วย
ทำไมไม่มีใครช่วยเขา แลเหมือนเขาเป็นธาตุอากาศซะอย่างนั้น
⊙
" ..หมายเลข1819 เขาตัดสินใจออกจากที่นี่ไปเมื่อหลายวันก่อน
เราเตือนเขาแล้วแต่เขาก็ยังไป ด้วยเขาเห็นว่าที่นั่นมีอิสระมากกว่า เขาอยากได้ลูกแก้วอันทันสมัยนั่นที่จะบรรดาลให้เขาอย่างไม่มีข้อจำกัด.." ชายผู้มีหลังงองุ้มกล่าว
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ครุ่นคิด เขารู้สึกมึนงงกับสิ่งที่เขาเห็น จนรู้สึกหวาดระแวง
"..เราบอกท่านแล้วไม่ต้องตกใจ เรารับรองความปลอดภัยและจะส่งท่านกลับอย่างดีที่สุด.."
"ในโลกสมัยนี้ เราถึงขีดพัฒนาสูงสุดของเทคโนโลยี เราใช้ความคิดในการควบคุม บันดาลความเป็นไป"
⊙
"..สิ่งที่ท่านเห็นอาจจะเป็นมายาหรือความจริง เราแทบจะแยกไม่ออก โลกเสมือนคือความก้าวล้ำที่เราไม่สามารถหยุดได้ โลกเสมือนที่อาจจะอยู่ภายอำนาจใครบางคน ที่กำลังเล่นตลกกับเรากำหนดเรา ชี้ชะตาเรา ในขณะเรากำลังเพลิดเพลินในความคิด ความคิดจึงมีค่าที่สุดในยุคเรา.."
ชายชราพูด พร้อมจ้องมาที่ชายหนุ่ม ก๊อก! เขาเคาะไม้เท้าลงพื้นหนึ่งครั้ง ชายชราหลังงุ้มกลับกลายเป็นบุรษวัยกลางคน
⊙
เขาใช้นิ้วสัมผัสไปที่ภาพนั่นอีกครั้ง ร่างของเด็กหนุ่มที่เขาเรียกว่าหมายเลข1819 สั่นเทิ้มด้วยความกลัว นั่งซุกอยู่ซอกหลืบของตึกระฟ้า ความคิดดี ความกล้าหาญถูกสูบไปสิ้นแล้ว สายตาหลุกหลิกเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ฉายออกมา ม่านตาเบิกกว้างอย่างถึงขีดสุด แล้วค่อยหุบลงเช่นเดิมแต่กลับไร้แววตา และแล้วเขาเดินออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นพร้อมกับลูกแก้วแวววาวที่ดึงดูดเขาให้ต้องมนต์ ซึ่งคงได้จากบุรุษผู้สวมหน้ากากนั่นเอง
"..เขาขายความคิดอันบริสุทธิ์แลกกับการอยู่บนโลกเสมือน.."
เราหวังว่าเขาจะโชคดี บุรุษวัยกลางคนกล่าว
⊙
อร๊าก!!!!...เสียงนั่นดังอีกแล้ว
ชายหนุ่มหันไปดูอีกครั้ง เด็กชายผู้นั้นถูกยิงจมกองเลือด
ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีด้วยไม่ทนกับภาพอุจาดนั่น
⊙
"..เชิญมาทางนี้ บุรุษวัยกลางคนเดินนำไปข้างหน้า เขาสังเกตเห็นการเดินที่ผิดปกติ มิน่าถึงต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง
ภาพเบื้องหน้าที่เห็นเต็มไปด้วยแคปซูลและสายระโยงระยาง เรียงรายเต็มทั่วพื้นที่โล่งกว้างนั้น
⊙
"..เราเตือนเขาเสมอ อย่าออกจากพื้นที่นี้ แต่เขาก็เลือกเองที่จะถอดสายแห่งปราณออก และเล็ดลอดออกไป ทั้งที่นี่ปลอดภัยสำหรับพวกเรา.."
บุรุษวัยกลางคนถอนหายใจอย่างปลงใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เขาเคยย้ำเตือนชาวเมืองกมลาให้ใช้รูปเสมือนเท่านั้นในการออกไปโลกภายนอกนั่น โดยผ่ายสายแห่งปราณในการกำหนดรูปร่างความคิด ความสำนึกผิดชอบชั่วดีไว้ แต่เขาเลือกทิ้งมันเสีย และเลือกที่จะขายมันให้กับกลุ่มคนที่สวมหน้ากากนั้น
"..ที่ของเราอยู่นี่หลายพันชีวิต หนีเข้ามาในป่าลึก สร้างประตูลับแลเพื่อกันการคุกคามของโลกเสมือน ที่อาจทำให้มนุษย์ต้องถึงสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ แม้ในช่วงชีวิตของพวกเราจะมีอายุแค่10ปีก็ตาม...เราก็ต้องรักษาไว้.."บุรุษนิรนามกล่าว
⊙
" ..แล้วคนภายนอกนั่นเล่าเป็นดั่งพวกตัวท่านรึไม่.."เขาชักสงสัย
3
"..เฉกเช่นเดียวกัน เขาสามารถผลิตรูปเสมือนโดยผ่านความคิด แต่ต้องขายความคิดบางส่วนในความรู้สึกผิดชอบชั่วดีให้กับคนที่สวมหน้ากากนั่น เพื่อแลกกับแก้วสารพัดนึก ที่จะดลบันดาลให้ลุ่มหลงเพลิดเพลินไปกับเทคโนโลยี โดยที่พวกเขาเองแค่นั่งนอนอยู่ในบ้าน แล้วสร้างตัวเสมือนแทน เขาสามารถจะเนรมิตให้รูปร่าง ผิวพรรณ ทุกสิ่งอย่างได้ออกไปทำอะไรก็ได้ในโลกเสรี โดยไม่ต้องรู้สึกผิดชอบชั่วดี เพราะพวกเขาคิดว่ามันแค่เกมส์ถ้าถูกทำลายก็แค่สร้างตัวตนขึ้นใหม่.."
⊙
"..น่าจะเป็นข้อดี.."ชายหนุ่มรู้สึกทึ่งในโลกเสมือนแห่งนี้
"..ใช่น่าจะเป็นข้อดี.."
"..แต่ถ้ามนุษย์สูญสิ้นความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
ก็ใช้ความคิดนั้นทำอะไรก็ได้ อย่างไม่มีขีดจำกัด การห้ำหั่นทางความคิดจึงเกิด แรงปะทะมหาศาลอย่างนั้นแม้ในโลกเสมือนก็ย่อมทำลายกัดกิน กายใจที่อยู่ในบ้านทีละน้อย ในที่สุดก็ถึงวาระโดยที่พวกเขาเกล่านั้นไม่ทันตั้งตัว หรือรู้ทันก็สายไปเสียแล้ว
1
สุดท้ายพวกเขาเริ่มหายไปทีละคน ไม่ฆ่ากันเอง ก็ถูกกำจัดให้หายไป หรือดับชีวิตลง
ด้วยภาวะซึมเศร้าที่ถาโถมเหี่ยวแห้งทั้งกายใจ ลูกแก้วดูดพลังงานการมีชีวิตอยู่ของพวกเขาเหล่านั้นไปเสียสิ้น.."
⊙
"..ในที่นี่เราถนอมกายไว้ในแคปซูลแก้วแล้วใช้ความคิดผ่านสายแห่งปราณนั้น สร้างต้วตน สายแห่งปราณจะคอยควบคุมไม่ให้เราคิดร้าย อันป็นผลทำให้สังขารเราเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว และป้องกันโลกภายนอกมาทำลาย จนกว่าเผ่าพันธุ์เราจะสืบต่อไป ชั่วลูกชั่วหลานให้อายุยืนยาวอีกครั้ง เพื่อเตรียมกายใจในวันที่จะได้รับธรรมอันเป็นอัมฤทธิ์หล่อเลี้ยงเราให้นิรทุกข์ตลอดกาล.."ชายนิรนามกล่าว
"หมายความว่า.." ชายหนุ่มเริ่มสงสัยอีกครั้ง
"..เราทราบมาว่าในสมัยพุทธกาลเรามีอายุขัยถึง100ปีโดยประมาณ มาถึงยุคของท่านปัจจุบันล่วงแล้วกว่า2500ปี ทุก100ปีอายุมนุษย์จะลดลง1ปี ตอนนี้มนุษย์ในสมัยท่านอายุขัยคงจะเหลือประมาณ 75ปี นับจากเวลาท่านมาหาเราที่นี่ท่าเทียบคงราว พ.ศ 9000 ท่านเดินทางข้ามเวลามาที่นี่6935ปีทีเดียว เป็นที่น่าเสียดายที่เราไม่ได้จักแม้กระทั่งคำสอนของพระศาสดา เพราะสูญสิ้นไปเมื่อสี่พันกว่าปีมาแล้ว คำว่าพุทธศักราชจึงอันตรธานหายไป
ตอนนี้อายุไขเราเหลือแค่10ปี ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นรู้มั้ย ในความเจริญของเทคโนโลยี เราเองก็ตกเป็นทาส เราทำทุกอย่างเพื่อจะได้เสพเทคโนโลยี ที่ก้าวล้ำ
ชีวิตเราฝากไว้ในมือเขาทั้งหมด การกระตุ้นให้เสพเทคโนโลยีคงมีเสมอมา สมัยท่านคงเร่งทำงานทั้งวันทั้งคืน เพื่อจะได้ครอบครองเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ เราก็จะรู้สึกภูมิใจ แต่ถ้ามันเลยขีดจำกัด การไม่พอประมาณในตัวตน
อำนาจมืดที่อยู่ภายในจิตใจก็กลับงอกเงย จนกระทั่งในสมัยเราความคิดดีถูกซื้อไปโดยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำอย่างหมดหัวใจ โดยมีแก้วแห่งความสุขเป็นตัวล่อ และลบล้างสิ่งที่ศาสนาเคยสั่งสอนไว้ เหล่าชนในสมัยเรากล่าวอ้างว่าพระไตรปิฎกเป็นเพียงสาวกที่ลิขิตกันขึ้นมา เพียงเพื่ออยากจะให้คนหวาดกลัว กลัวจะได้อยู่ภายใต้อาณัติของศาสนา
และจำกัดอิสระเสรีภาพของพวกเขา
โลกหน้าหาคำตอบไม่ได้ เทวโลก นรก เป็นเพียงนิยายหลอกเด็ก พ่อแม่เป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาเพื่อให้เด็กกลัวให้อยู่ในอาณัติ ฉะนี้เหล่ามนุษย์จึงพากันลุกฮือ ทำลาย เริ่มจากวัตถุทางศาสนา เจดีย์วัดวา พระไตรปิฎก คำสอนงมงายทางศาสนาทิ้งเสีย แล้วไปเสพเทคโนโลยี ที่เขาก็ไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังอย่างเอาเป็นเอาตาย ความเห็นแก่ตัวที่เขาเรียกว่าอิสระชน ใครทำอะไรก็ได้
เพราะมันคือเสรีภาพตามคำกล่าวอ้างของชนพวกนั้น
ความเครียดจึงสะสมทีละเล็กทีละน้อย การห้ำหั่นทางจิตใจผ่านที่เราเรียกว่าเทคโนโลยีไร้เสียง กลับดังในใจในรูปแบบความคิดของผู้ถูกกระทบ วันแล้ววันเล่า ความทะยานอยากภายใต้อำนาจเสรีเข้ามาเต็มรูปแบบ
เห็นนาย1819มั้ยเล่า เดินเซข้ามถนนเจ้าของยานไร้ล้อถึงกับยิงให้ตายเสีย นัยว่าขัดขวางการแล่นรถของเขา ความคิดที่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะถูกกระชากออกไปในโลกเสมือนนั่น
⊙
"..ความอดทนอดกลั้นที่เคยเพาะบ่มมา กล้บไม่จำเป็น การห้ำหั่นคงไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด
สิ่งหล่านี้จึงทอนอายุของมนัษย์ลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากแม้เดินเฉียดกายกัน ความหุนหันพลันแล่นก็ทำลายอีกฝ่ายได้ทันที คงเหลือแต่เพียงเรา ที่หลีกเร้นหลบมา เราได้ยินว่าพวกท่านมีอายุขัยโดยเฉลี่ย75ปี นับว่ายังสูงพอที่จะรู้ธรรม และหลักคำสอนยังปรากฏ แต่พวกเราเกิดมาในช่วงไม่มีอะไรยึดเหนี่ยว เกิดมา10ปีก็ตายลง ไม่ทันได้มีเวลาคิด ซ้ำร้ายต้องอยู่เพื่อการอยู่รอด เพื่อให้ทันเทคโนโลยีที่เขาลือว่าจะบันดาลสุข แต่เราก็ยังไม่พบซักที.."
"..ที่นี่โลกเสมือนเหมือนจะดีอย่างฉาบฉวยตึกรามบ้านช่องดูสูงลับฟ้า แต่เราไม่เคยได้สัมผัสรสแห่งเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และเกลือ อาหารที่นี่มีเพียงหญ้ากับแก้ที่เป็นอาหารอย่างดีที่สุดของเรา เราจึงต้องใช้ความคิดจินตนาการในการเสพสิ่งเหล่านี้ให้เป็นรสชาติอาหารต่างๆอยู่เนืองๆนั่นหมายถึงเราต้องใช้พลังงานชีวิตเข้าแลก..."
เราได้ยินว่า คนเราก่อนพุทธกาลสามารถมีอายุไขถึง80,0000ปี ช่างน่าอิจฉา เป็นที่ว่ากันว่า หากพระโพธิสัตว์ลงมาอุบัติตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เลือกช่วงเวลาที่มนุษย์อายุ ต่ำกว่า100ปี เพราะถ้าหากน้อยกว่า 100 ปีมนุษย์จะมีจิตใจหยาบช้าเกินกว่าจะฟังธรรมให้แตกจนบรรลุพระนิพพานได้ ถ้าเกิน 100,000 ปีมนุษย์จะเริ่มประมาทความแก่ ความเจ็บ ความตายเพราะอายุยืนความตายมาถึงช้า จะไม่เห็นอริยสัจ 4 หรือธรรมใดๆและไม่อุบัติในอายุที่มากกว่าแสนปี
"...เราชาวกมลานครจำคงต้องซ่อนตัว ปฏิบัติตามที่ได้ยินได้กล่าวมา แต่กระนั้นก็ไม่รู้ว่าถูกผิด เพราะคำสอนนั่นอัตรธานหายไปเสียสิ้น จึงอยากให้ท่าน ผู้ศึกษามาในกาลก่อน ได้เมตตาบอกกล่าวแก่เราบ้าง.."บุรุษนิรนามวิงวอน
"..กระผมไม่ได้รู้อะไรมาก เพียงแต่รู้มาว่า การจะอยู่ร่วมกันในสังคม เราต้องมีสติและสัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อม.."
"..เมื่อมีสิ่งนี้เป็นเครื่องมือ จะปลุกความคิดที่ดีงามออกมาอีกครั้ง จริงแล้วบุรุษที่ตายนั่นเขาน่าจะไม่ได้ขายความคิดที่ดีงาม แต่เขาถูกบดบังสติสัมปชัญญะด้วยการหลอกล่อด้วยลูกแก้วแห่งเทคโนโลยีที่ถูกควบคุมโดยใครบางคนหรือบางกลุ่มบางพวกเพียงแค่นั้น และสายแห่งปราณความรู้ผิดชอบชั่วดีก็ไม่จำเป็นต้องมี โดยจริงที่ท่านใช้อยู่นี่ก็ต้องอาศัยเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นตัวเทคโนโลยีเหล่านั้นไม่ได้เลวร้ายแต่ประการใด"
"แต่..หากไปอยู่กับบุคคลที่เห็นแก่ตัว เห็นประโยชน์ส่วนตน หลอกล่อให้หลงเพลิน จับจุดอ่อนของมนุษย์ได้ อันนี้สิอันตราย
"..หากพวกเขาเหล่านั้นรู้ตัวว่าดาบที่เคยคมยังอยู่ มีหรือจะไม่ชักออกจากฝักมาใช้ หาได้ต้องพึ่งสายแห่งปราณนั้น.."ชายหนุ่มให้ความเห็น
⊙
"อย่างไรฤา" บุรุษนิรนามต้องการคำอธิบาย
"..ศาสดาเราแม้นจากไปนาน ท่านให้ยึดคำสอนหรือธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนเสีย นี่คือคำตอบ" ชายหนุ่มเห็นบุรุษผู้นั้นตั้งใจฟัง สังเกตจากสายตาที่แสดงความมุ่งมั่นถึงเพียงนั้น จึงกล่าวต่อว่า
"..เราแค่ค่อยๆทำการบางอย่างเพื่อพลิกฟื้น
เราอาจจะใช้ศีลมาเป็นตัวตั้ง
ทั้งสองอย่างนี้เกื้อกูลกัน ใช้ศีลมากำหนด ทันทีที่เราทำผิดศีลเราจะรู้ตัวทันทีสติสัมปชัญญะจึงเกิดโดยอัตโนมัติ
1
"..เมื่อเราทำบ่อย สติสัมปชัญญะก็ฟื้นตัว ทั้งสองสิ่งเป็นธรรมที่คอยเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เราก็ไม่ต้องพึ่งสายระโยงระยางนั่น สายแห่งปราณสายแห่งความรับผิดชอบชั่วดีอีกต่อไป..นานเข้าไม่สิ่งใดมาแทรกแซงได้ แม้นว่าเทคโนโลยีก้าวล้ำเพียงใด หากเรามีสติสัมปชัญญะที่เกิดขึ้นเอง เราจะใช้ประโยชน์ได้มากอย่างคนที่ไม่ลุ่มหลง
"..ในบรรดานักบวชผู้เป็นสาวก ละแล้วเครื่องร้อยรัดอย่างชาวบ้าน มีศีล227ข้อเป็นพระวินัยเป็นศาสดา ชาวบ้านอย่างเรามีศีล5เป็นศาสดา.."ชายหนุ่มแถลงไข
"ได้โปรดแจ้งเราเถิด จักเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตต่อไป" บุรุษผู้นั้นวิงวอน
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ แล้วกล่าวต่อไปว่า
"..ขอพวกท่าน ถอดสายแห่งปราณนั่นเถิด เทคโนโลยีเหล่านั้นมันไม่จำเป็น พวกท่านมีของดีที่พกติดตัวมาเพียงพอต่อการรู้สึกรับผิดชอบชั่วดีแล้ว เราจะสาธยายบทแห่งศีลอันเป็นตัวแทนของศาสดาให้ท่าน ได้เป็นที่พึ่งที่อาศัยอย่างแท้จริงตามกำลังและสติปัญญาแห่งเรา "
..
หนึ่งงดเสียซึ่งฆ่าสัตว์
สองงดพรากของรักของหวงเขา
สามผัวใครเมียใครห้ามชำเรา
สี่ละเว้นหลอกลวงเขาให้ช้ำใจ
ห้าละของเมาพรากสติ
ดำริแล้วให้แจ้งอย่าสงสัย
ความทะลุ ด่าง พร้อย ของศีลนั้นไซร้
ย่อมเป็นไปตาม ...ตัว เ จ ต น า....
1
..
เหล่าบุรุษ
ถอดถอนเสียซึ่งสิ่งร้อยรัด
สดับแล้วธรรมแห่งภควา
น้อมปฏิบัติบูชาสิ้นแล้ว
เริงร่าตลอดเจ็ดทิวา🌿
..
1
..
ธรรมนิยาย เรื่อง หน่อพระโพธิสัตว์เจ้า องก์๒
ขบถ~ยาตรา:เล่าเรื่อง
☆อธิบายท้ายบท
บทนี้แต่งตามจินตนิยาย ได้รับแรงบันดาลใจจากจักติวัตสูตร
ว่าด้วยอายุมนุษย์ค่อยๆลดลง จากศีลธรรมที่เสื่อมถอย
และค่อยๆสูงขึ้น จากความศีลธรรมที่สูงขึ้น
1
ชายหนุ่มถูกดึงตัวไปอีก6000กว่าปีข้างหน้า ไปในยุคที่อายุของคนเหลือเพียง10ปี (ในอดีตเรามีอายุถึงอสงไขยปี ถ้าจะนับเป็นปีคือเลข 1 เข้าแล้วต่อเติมเลขศูนย์เข้าข้างท้ายต่อเติมไปให้ได้140เลข
ศูนย์จำนวนเท่าที่ได้นั้นนับเป็นอสงไขยปี)
มาสมัยพระพุทธเจ้าเราคือพระสมณโคดม คนสมัยนั้นมีอายุขัยเพียง100ปี(ก่อนหน้านั้นมีอายุยืนกว่านี้แล้วลดลงเรื่อยๆจนสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์นี้มาอายุเฉลี่ยแค่100ปี)
มาถึงสมัยนี้เรามีอายุไขเฉลี่ยลดลงเหลือ75ปี และอีกประมาณ6000กว่าปีข้างหน้า อายุมนุษย์จะเหลือเพียง10ปี
เหตุเพราะไม่ศีลธรรม หนักขึ้นเรื่อยๆ จนศีลธรรมหายสาบสูญในใจคน คนในยุคนั้นจะหลงมัวเมา แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ฆ่าฟันกันเองโดยขาดความยั้งคิด เหมือนสัตว์เดรัจฉาน ฉุดคร่าข่มขืนไม่เว้นเเม่ของตน เห็นพ่อแม่คือสิ่งสมมุติ แต่ก็มีคนบางพวกที่หนีเข้าป่าซ่อนตัว ภายนอกคงฆ่าแกงกันหมด เข้าป่าถึง7วัน จึงออกมา พากันสำนึกได้ว่าเพราะเราขาดศีลธรรม พอได้ศีลธรรมเป็นตัวยึด ไม่ละเมิด อายุเลยยืนเป็นรุ่นๆไปเพราะไม่เบียดเบียนกัน จากอายุไข10ปี ก็เป็น100ปี ในรุ่นลูกหลาน จนถึงอายุอสงไขยปีตามเดิม เราเรียกหนึ่งรอบนี้ว่า1อันตรกัป
*ในพระสูตรบอกว่า เมื่ออายุไขยืนถึง80,000ปี พระศรีอริยเมตไตร
จะลงมาตรัสรู้อริยสัจเป็นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ถัดไปจากพระสมณโคดมองค์ปัจจุบัน ในภัทรกัป
.
บทนี้ค่อนข้างยากมาในการเขียน ลำพังอ่านพระสูตรก็ยากและคงยากมากที่จะเข้าใจที่จะเขียนเป็นนิยายที่ใช้ปรัชญาในการแฝง ทำเอาผมหัวปั่นด้วยที่ไม่เคยเขียนในรูปแบบนี้ และเข้าใจว่าคนอ่านก็ยากจะเข้าใจ แต่ถ้าเทียบกับยุคเราสมัยนี้ก็เริ่มมีเค้า จากเหตุการณ์ที่เราเห็นหลายๆอย่างมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดในอนาคตเลยหยิบยกมาเปรียบเปรยขอรับ ในพระสูตรบอกว่าที่ฆ่ากันเพราะคิดว่าเนื้อ แต่ผมเอามาเทียบเคียงตรงที่เราหลงไปในเทคโนโลยีที่ดึงดูดเรา
เช่นมือถือต้องรุ่นใหม่ บีบคั้นว่าจะต้องทันสมัย เขาก็ออกมาเป็นซีรีย์ เราก็วิ่งหาเงิน ขอพ่อแม่ ทำงานให้หนัก หรือขั้นไปลักขโมย หรือหยิบยืมบัตรเครดิตแล้วหาจ่ายไม่พอไม่ทัน มันเป็นวงเวียนที่น่าคิดที่จะนำเราไปสู่ที่ต่ำขาดศีลธรรมไปทีละน้อย โดยไม่รู้ตัวและไม่รู้สึกผิดเพราะใครๆก็ทำกัน ในเรื่องอื่นๆที่เราเห็นกันในสังคมหลายๆเรื่องก็เช่นเดียวกัน ผมเทียบกับแก้วสารพัดนึก โดยเอาตัวตนที่ดีไปแลกมา
แม้เราจะมีกฎหมาย(ในที่นี้ผมเทียบกับ สายแห่งปราณที่ติดไว้ทุกคน)คือเป็นสิ่งที่เราไม่ได้กำหนด แต่ก็ทิ้งมันไปยอมละเมิดกฏหมาย เพื่อให้ได้แก้วสารพัดนึก ตัวการจริงๆก็คือกิเลสในใจของคนเราทุกคนที่จะทำร้ายกันเองเหมือนกับการกินเนื้อกันเอง ทำให้เรายอมที่จะสร้างตัวตนขึ้นมาให้มีที่ยืนในสังคม แม้จะเบียดเบียนใครก็ตาม มันคือการฆ่ากันทางอ้อม แม้ตัวเขาก็ฆ่าตัวเองทีละน้อย ภายในนอกอาจจะดูดีแต่ภายในกลับห่อเหี่ยวเต็มไปด้วยความไม่พอ (ผมใช้คำว่าโลกเสมือน คือไม่ใช่ของจริง เป็นของที่ทำให้เหมือนว่าเป็นจริงตามใจอยาก) เทียบเคียงประมาณนี้ขอรับ
ส่วนบทที่บอกว่าให้ทิ้งสายแห่งปราณเสีย หมายถึงว่า ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ เราก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายบังคับ เพราะสิ่งนี้ควบคุมโดยใจที่ยอมรับ ถ้าเราไม่รู้ว่าการมีสติสัมปชัญญะเป็นยังไง ชายหนุ่มจึงจำแนกศีล5ให้ฟัง เพื่อเป็นแนวทางในการหาเครื่องมือที่เรียกว่าสติสัมปชัญญะ ส่วนบทก่อนๆที่เคยกล่าวว่าถ้าเรามีสติสัมปะชัญญะความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเราจะมีศีลโดยอัตโนมัติ แต่ในที่นี่ใช้วิธีสวนทางสำหรับผู้ไม่รู้ว่าสติสัมปชัญญะคืออะไร ให้จำว่าอันนี้ผิดนะ เมื่อใดเผลอไปทำ ก็จะรู้สึกขึ้นมาเอง เขาจะค้นพบเครื่องมือนั้นเอง จึงบอกว่าธรรมทั้งสองเกื้อกูลกัน
😊😇
☆
กมลานคร หมายถึงเมืองแห่งใจ (กมลาแปลว่าใจ)
สายแห่งปราณ ในที่นี้ใช้เป็นตัวแทนของกฏข้อบังคับ มิได้เกิดขึ้นเอง
ลูกแก้ว หมายถึง สิ่งที่ดึงดูดให้เราอยากได้มาครอบครอง อาจหมายตัวแทนของเงินตราหรือสิ่งแลกเปลี่ยน
☆ ความเดิม
https://www.blockdit.com/series/5fb9cf84ca946f0cd55f52dd
จักติวัตสูตร ฉบับเต็ม
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=11&A=1189&Z=1702
จักติวัตสูตร อธิบายอย่างย่อ เข้าใจง่าย อ่านที่นี่
http://www.anakame.com/page/1_Sutas/800/870.htm
บันทึก
11
27
10
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
หน่อพระโพธิสัตว์เจ้า
11
27
10
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย