Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
HoBow
•
ติดตาม
16 ม.ค. 2022 เวลา 04:12 • ท่องเที่ยว
"เบตง" เป็นเมืองน่ารัก
หากจะพูดถึงปักษ์ใต้บ้านเราแล้วละก็ ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลายๆ ท่านอาจจะนึกถึงท้องทะเลอันแสนกว้างใหญ่และงดงามเป็นแน่แท้ เพราะคงปฎิเสธไม่ได้ว่าทะเลภาคใต้นั้นช่างแสนจะสวยสดงดงามเป็นอย่างยิ่ง และหากจะพูดถึงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วนั้น หลายๆ ท่านก็อาจจะนึกถึงความน่ากลัวและความไม่ปลอดภัยเนื่องด้วยเป็นพื้นที่สีแดงที่ยังคงมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นอยู่เป็นเนืองๆ แต่ถึงกระนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็อยากจะบอกว่ามันก็ไม่ได้น่ากลัวไปซะทีเดียวหรอกท่านทั้งหลาย ^^ โดยเฉพาะจังหวัดยะลาที่ยังคงมีความสวยงามของธรรมชาติอยู่มากโข รวมไปถึงความน่ารักของเมืองเล็กๆ อย่าง “เบตง” ที่ข้าพเจ้าได้ไปเยือนมาแล้ว และทำให้ข้าพเจ้าอยากที่จะเชิญชวนทุกท่านออกไปเที่ยวด้วยกัน!
การเตรียมตัวสำหรับทริปนี้ ข้าพเจ้าได้ไหว้วานให้เพื่อนจองตั๋วให้ โดยขาไปเราจะนั่งด้วยกันเป็นตั๋วชั้น 3 ราคาประมาณ 300 กว่าบาท และขากลับเราจองตั๋วแยกกันโดยเพื่อนของข้าพเจ้าจองตั๋วนอน และข้าพเจ้าจองตั๋วแบบนั่งเช่นเคยแต่ขากลับเป็นตั๋วราคาประมาณ 400 กว่าบาท เป็นเบาะนิ่มๆ ค่อยสบายขึ้นหน่อย 555 และนอกจากการจองตั๋วรถไฟแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้จองทริปท่องเที่ยวเบตงกับโฮสเทลที่ไปพักด้วยเช่นกัน โดยโฮสเทลมีชื่อว่า โฟโต้ โฮสเทล (Facebook: Foto Hostel โฟโต้โฮสเทลเบตง ที่พักในเบตง) เจ้าของโฮสเทลเป็นคนไทยใจดีและเป็นมิตรมากๆ ซึ่งการจองทริปกับทางโฮสเทลจะต้องโทรสอบถามหรือ inbox ถามใน facebook ก่อนว่าทางโฮสเทลมีจัดทริปวันไหนบ้างเพื่อที่เราจะได้วางแผนการเดินทางถูกและสามารถไปจอยทริปกับท่านอื่นๆ ได้ ^^
"สถานีรถไฟยะลา"
Day 1: 13 OCT 2020 - หลังจากได้วันเดินทางแล้ว ข้าพเจ้าและเพื่อนก็ไม่รอช้าเตรียมแพ็คกระเป๋าและไปโลด ซึ่งข้าพเจ้าและเพื่อนเริ่มออกเดินทางจากสถานีรถไฟหัวลำโพงตอนเวลาประมาณบ่ายสามโมง และเดินทางถึงสถานีรถไฟยะลาประมาณเกือบๆ บ่ายโมง โอ้ววว… ช่างยาวนานเป็นยิ่งนัก โดยหากท่านทั้งหลายมีเวลามาก และต้องการที่จะละเลียดไปกับวิวข้างทางก็สามารถเดินทางโดยวิธีนี้ได้เลย ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่าวิวของเส้นทางรถไฟสายใต้บ้านเราโคตรสวย ข้าพเจ้าให้คะแนนเต็มสิบ! :)
Day 2: 14 OCT 2020 - ถึงแล้ว! ยะลา ^^ หลังจากที่ข้าพเจ้าและผองเพื่อนลงจากรถไฟกันแล้ว ข้าพเจ้าก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแบบเงียบๆ ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่าน คนเมืองยะลาก็ดูเข้มๆ แต่ไม่ได้น่ากลัวเลยนะ ซึ่งข้าพเจ้าและเพื่อนกะว่าจะไปหาข้าวกินกันก่อนแล้วค่อยไปหารถแท็กซี่เพื่อเดินทางเข้าสู่เมืองเบตง
ข้าพเจ้าและเพื่อนนั่งกินข้าวกันเพียงไม่นานนัก ก็เตรียมตัวเดินหารถไปยังท่ารถแท็กซี่เพื่อที่จะเดินทางไปยังตัวเมืองเบตง ซึ่งในตอนแรกข้าพเจ้าและเพื่อนคิดว่าท่ารถแท็กซี่ไม่น่าจะอยู่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก แต่ทว่าในระหว่างที่เราเดินถามทางกันไปเรื่อยๆ ก็เห็นรถสองแถวจอดอยู่เลยเดินไปถามว่าถ้าจะไปที่ท่ารถแท็กซี่ราคาเท่าไหร่ พี่แกตอบว่า “ขึ้นมาเลย คนละ 30 บาท” ข้าพเจ้าและเพื่อนก็โอเค ราคาไม่ได้แพง แต่พอแกขับรถข้ามไปทางหลังสถานีรถไฟแล้วจอดเท่านั้นแหละ ข้าพเจ้าก็เพิ่งรู้ว่ามันใกล้มาก มันอยู่แค่หลังสถานีรถไฟนี่เอง นั่งรถมาไม่ถึง 3 นาที ด้วยซ้ำ ข้าพเจ้ากับเพื่อนโดนไปคนละ 30 บาท ฮ่าๆๆๆ แต่ก็ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นประสบการณ์กันไป หากใครจะมาก็เดินมาข้างหลังสถานีรถไฟนะ ไม่ต้องเดินหารถเหมือนข้าพเจ้าและเพื่อน ฮาาาา
ข้าพเจ้าเดินไปหาพี่คนขับแท็กซี่และตกลงราคากันเรียบร้อย โดยข้าพเจ้าและเพื่อนจะขอแชร์รถกับคนอื่นๆ เพราะจะได้ราคา 200 บาท ต่อคน ที่เหลือก็แค่ต้องรอเหยื่อว่าจะมีใครเดินทางไปเบตงกับพวกเรามั้ยในวันนี้ ฮ่าๆๆ โดยพวกเราก็นั่งรอไป คุยกับพี่ๆ ที่ท่ารถไป เดินไปเข้าห้องน้ำกันคนละสองรอบ เดินไปซื้อของที่เซเว่น และได้แต่รอแล้วรอเล่า จนกระทั้งเวลาก็ได้ล่วงเลยมาจนถึงประมาณ 4 โมงเย็น และในที่สุดพวกเราก็ได้ข่าวดีเพราะจะมีเพื่อนร่วมทางอีกสองคนจะเข้าไปเบตงกับเราด้วย เย้ๆๆ จากนั้นก็ไปกันโลด โดยจากเมืองยะลาเดินทางไปเบตงจะใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงเกือบๆ สามชั่วโมง แฮ่ๆ แป๊ปเดียวเท่านั้น! ^^
ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า ระหว่างทางที่จะไปเบตงนั้นก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่นะ แต่ว่าเส้นทางของถนนนั้นค่อนข้างโค้งไปโค้งมา ซึ่งหากใครที่เมารถก็อย่าลืมกินยาแก้เมารถกันด้วยน้า ใช้เวลาเพียงไม่นานและในที่สุดข้าพเจ้าและเพื่อนก็เดินทางมาถึงแล้วเมืองเบตง มองดูนาฬิกาก็น่าจะประมาณเกือบๆ สองทุ่มแล้ว โดยพี่ที่มาส่งเราก็ขับรถพาเรามาส่งถึงที่พักกันเลยทีเดียว และหลังจากจ่ายเงินกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าและเพื่อนก็เข้าไปเช็คอินพร้อมทั้งจ่ายเงินค่าที่พักและค่าทริปสำหรับสองวันเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นข้าพเจ้าและเพื่อนก็ไปเดินหาข้าวกินและเดินเล่นถ่ายรูปกันสักพัก ก็กลับกันมาพักผ่อน เพื่อที่จะเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ โดยทริปของวันพรุ่งนี้จะเริ่มกันตั้งแต่ตี 5 เพราะเราจะไปดูทะเลหมอกกันที่อัยเยอร์เวงเป็นที่แรก! สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ :)
Day 3: 15 OCT 2020 - ข้าพเจ้าตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่ออาบน้ำและเตรียมตัวออกเดินทางท่องเที่ยวในวันนี้ โดยรถจะมารับข้าพเจ้าและเพื่อนร่วมทริปที่โฮสเทลแห่งนี้ตอนตี 5 ซึ่งรถที่ว่านี้จะเป็นรถสองแถวคันเล็กๆ ที่สามารถจุคนได้ประมาณสักสิบสองสิบสามคน ข้าพเจ้าตื่นมาตอนเช้าด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและอากาศเย็นๆ แต่ไม่ถึงกับหนาว และสถานที่แรกที่เราจะไปเยือนกันในวันนี้นั่นก็คือ จุดชมวิวทะเลหมอก “อัยเยอร์เวง” ซึ่งที่นี่มีจุดชมวิว sky walk ที่ท่านทั้งหลายจะได้มองเห็นวิวของผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์อย่าง ป่าฮาลา-บาลา นั่นเอง
"จุดชมวิว sky walk อัยเยอร์เวง"
โดยสำหรับชื่อ “อัยเยอร์เวง” นั้น เป็นชื่อของตำบลหนึ่งในอำเภอเบตง จังหวัดยะลา ซึ่งมีชื่อเดิมว่า ตำบลฮาลา ที่ถูกเรียกโดยบรรพบุรุษมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2477 จนกระทั่งในสมัยของรัชกาลที่ 5 ก็ได้มีการอพยพของผู้คนจากรัฐปัตตานีมาตั้งรกรากกันอยู่ที่ใจกลางป่าฮาลาแห่งนี้ หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2493 ขบวนการคอมมิวนิสต์ได้เข้ามาก่อกวนชุมชนชาวฮาลา ซึ่งทางการเห็นว่าเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนและป้องกันการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ทำให้ทางการได้อพยพชาวฮาลามาตั้งถิ่นฐานใหม่ ณ บริเวณที่ราบริมตลิ่งของแม่น้ำปัตตานีแห่งนี้นั่นเอง (ตามประวัติที่เค้าว่ามานะพี่น้อง) และก็ได้มีการเปลี่ยนชื่อตำบลเป็น ตำบลอัยเยอร์เวง
2
โดยคำว่า “อัยเยอร์เวง” มีที่มาจากชื่อของชาวจีนท่านหนึ่งมีชื่อว่า “เวง” และ “อัยเยอร์” ซึ่งในภาษายาวี แปลว่า “สายน้ำ” ซึ่งชาวจีนท่านนี้ได้มาพำนักอยู่ที่บ้านพักสำหรับผู้ที่เดินทางระหว่างยะลา - เบตง ตั้งอยู่เพียงหลังเดียว ณ บริเวณนั้น และนี่ก็คือที่มาของชื่อตำบล “อัยเยอร์เวง” นั่นเอง
สำหรับสกายวอร์คแห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่ท่านสามารถชมวิวกันได้แบบ 360 องศา ด้วยระดับความสูง 2,038 ฟุต (ประมาณ 621 เมตร) และระเบียงกระจกที่ยาวถึง 63 เมตร กันเลยทีเดียว นอกจากนั้นแล้วที่นี่ยังมีของกินอร่อยๆ ให้ท่านทั้งหลายได้ลิ้มลองไปพร้อมๆ กับบรรยากาศของธรรมชาติอันแสนสวยงาม โดยที่นี่มีทั้งโรตี ขนมนมเนย กาแฟ ข้าวหมกไก่ เป็นต้น ให้ท่านทั้งหลายได้เลือกชิมกันในยามเช้าด้วยนะจ๊ะ
2
เมื่อข้าพเจ้าและเพื่อนร่วมทริปเดินทางมาถึงกันแล้ว ก็เตรียมตัวขึ้นไปยังสกายวอร์คด้านบน โดยหากใครเดินขึ้นเนินไหวก็สามารถเดินขึ้นไปได้เลย แต่สำหรับใครที่ขี้เกียจ เดินไม่ไหว หรือเข่าไม่ดีก็สามารถจ้างมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่อยู่ด้านล่างให้ขึ้นไปส่ง ณ จุดชมวิวสกายวอร์คอัยเยอร์เวงกันได้เลย คนละ 20 บาท เท่านั้นเอง โดยข้าพเจ้าและเพื่อนคิดว่าให้มอเตอร์ไซด์ไปส่งละกัน ฮ่าๆๆ ขากลับค่อยเดินลงกัน
ใช้เวลาไม่ถึง 3 นาที พวกเราก็ได้ขึ้นมาด้านบนกันแล้ว ซึ่งวันที่พวกเราไปนั้นคนเยอะมากๆๆๆ มีทั้งนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ อย่างเรา และนักท่องเที่ยวที่เป็นคนยะลาเองด้วยเช่นกัน มีทั้งวัยรุ่นหนุ่มสาว วัยทำงาน เด็กเล็กๆ ที่มากับครอบครัว และผู้เฒ่าผู้แก่ที่มากับลูกหลาน ทำให้บรรยากาศในยามเช้าแลดูคึกคักเป็นยิ่งนักแล ^^
พวกเราใช้เวลาเดินไปมา ชมวิวทิวทัศน์ ถ่ายรูปกันสักพักก็เดินลงมาหาอะไรกินเบาๆ ข้าพเจ้าเลยเดินไปจัดโรตีมะตะบะ กับโอวัลตินร้อนมาอย่างละหนึ่ง นั่งกินไป ชมวิวไป ฮ่าๆๆๆๆ อย่างมีความสุข :)
หลังจากพี่คนขับรถ (เป็นทั้งพี่คนขับรถและเป็นคนนำเที่ยวด้วยเช่นกัน ^^) ของเราปล่อยให้พวกเราได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศในยามเช้ากันสักพัก ก็ได้เวลาเดินทางไปยังสถานที่ต่อไปกันแล้ว โดยพี่คนขับรถ
(ข้าพเจ้าจำชื่อมิได้ TT) ได้พาพวกเราเดินทางไปที่ “น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9” ซึ่งที่นี่แต่เดิมนั้นถูกเรียกว่า “น้ำตกวังเวง” หรือ “อัยเยอร์เค็ม” เพราะเรียกตามชื่อของชาวจีนท่านหนึ่ง ชื่อว่า เข่ง และชาวบ้านก็เรียกเพี้ยนกลายมาเป็นคำว่า เค็ม ก็เลยเป็น อัยเยอร์เค็ม ^^ ประวัติเค้าว่ามาอย่างนั้้นนะพี่น้อง และต่อมาในปีที่ครบรอบ 72 พรรษาของรัชกาลที่ 9 ทาง อบต. อัยเยอร์เวงก็ได้เข้ามาทำเส้นทางพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว และทำการเปลี่ยนชื่อซะ เป็น “น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานั่นเองจ้า
ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า บรยากาศภายในนั้น ชุ่มชื่น ชุ่มฉ่ำ เป็นยิ่งนัก บรรยากาศดีมากๆ แต่ถ้าใครจะเข้าไปดูน้ำตกแบบระยะประชิด ก็ให้ระวังทางเดินที่เป็นไม้ให้ดี เพราะค่อนข้างผุ ระวังจะเหยียบเอาไม้ที่ผุได้นะจ๊ะ
“น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9”
พี่คนขับรถให้เวลาเราประมาณ 20 นาที ในการเดินชมน้ำตก หลังจากนั้นก็พาเราไปนั่งพักและคลายร้อนกันที่ “ร้านเฉาก๊วยเบตง กม.4” โดยร้านนี้เป็นอีกหนึ่งร้านเฉาก๊วยขึ้นชื่อของเมืองเบตงเลยก็ว่าได้ ซึ่งร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน กม.4 แห่งนี้ ในอดีตหมู่บ้านแห่งนี้เป็นศูนย์รวมการค้าขาย โดยแต่ก่อนนั้นแถวนี้มีร้านขายของชำอยู่เพียงห้าร้านเท่านั้น ได้แก่ ร้านขายยา, ร้านขายผัก, ร้านขายผลไม้, ร้านน้ำชา และร้านเฉาก๊วย (วุ้นดำ) เป็นต้น
หมู่บ้าน กม.4 แห่งนี้ เป็นชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน ที่แต่ก่อนนั้นได้มีการอพยพมาจากมณฑลกวางสีและเข้ามาตั้งรกรากกันที่นี่ และทำให้ที่นี่มึชื่อเสียงในเรื่องของการผลิตวุ้นดำนั่นเอง ซึ่งร้านเฉาก๊วยแห่งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นร้านเฉาก๊วยดั้งเดิมที่ได้ถูกสืบทอดกิจการมาเป็นรุ่นที่ 3 และนับเป็นเวลากว่า 30 ปี แล้ว ตั้งแต่เริ่มกิจการในปี พ.ศ. 2527 ที่ดำเนินกิจการโดย วู่หมิ่น แซ่ลิ่ว จนกระทั่งถึงปัจจุบันร้านแห่งนี้ถูกดูแลโดย นางสาวสุมิตรา อนันตสิทธิกุล นั่นเองจ้า ^^ หากใครมาเบตง ห้ามพลาดนะจ๊ะ เพราะว่ารสชาติของเฉาก๊วยหนึบมาก อร่อยจริงๆ :)
“ร้านเฉาก๊วยเบตง กม.4”
หลังจากที่พวกเรานั่งพักคลายร้อยกันจนหายเหนื่อยแล้ว พี่คนขับรถก็พาเราไปเที่ยวต่อกันที่ “อุโมงค์ปิยะมิตร” โดยระหว่างทางพี่คนขับรถก็พาเราแวะชิมส้มสดๆ จากสวน และแวะเดินเล่นกันที่สวนดอกไม้อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินทางมาถึงอุโมงค์ปิยะมิตร โดยสำหรับอุโมงค์ปิยะมิตรแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2519 เพื่อใช้เป็นฐานปฏิบัติการต่อสู้ทางการเมืองของขบวนการโจรคอมมิวนิสต์มาลายา และยังใช้เป็นที่หลบภัยการโจมตีทางอากาศและสะสมสะเบียงอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันก็ได้เปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ให้กับผู้ที่สนใจได้เขามาศึกษาเรียนรู้กันอีกด้วย โดยคิดค่าบริการเข้าชมราคาคนละ 40 บาท เท่านั้นเองจ้า ^^
“อุโมงค์ปิยะมิตร”
หลังจากที่ข้าพเจ้าและเพื่อนร่วมทริปผู้น่ารักเดินกันมาจนถึงทางเข้าแล้ว ก็ได้มีเจ้าหน้าที่ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นไกด์ได้เข้ามาอธิบายถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของอุโมงค์ปิยะมิตรแห่งนี้ให้พวกเราได้ฟังกันก่อนปล่อยให้พวกเราไปเดินชมกันเอง โดยที่นี่จะแบ่งออกเป็น 3 โซน ใหญ่ๆ ได้แก่ โซนแรกจะเป็นบริเวณด้านหน้าก่อนที่จะเข้าไปด้านใน โดยจะมีเตาเผาขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างเอาไว้อยู่ด้านหน้า (ตรงนี้จะเป็นจุดแรกสุดเลย เป็นโซนที่ไกด์จะเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์นั่นเอง และตรงจุดนี้ก็มีที่นั่งให้เราได้นั่งพักกันด้วยนะ
โซนถัดมาจะเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่ได้เก็บรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ รวมไปถึงพวกยุธาปกรณ์ทั้งหลายที่ถูกใช้ในช่วงสงคราม และโซนสุดท้ายก็คือ อุโมงค์ นั่นเอง โดยอุโมงค์จะมีทางเข้าหลายทางแบ่งออกเป็น อุโมงค์ที่ 1-6 และสามารถเดินออกได้ 6 ทางเช่นเดียวกัน ซึ่งหลายๆ ท่านก็แนะนำว่าควรเดินออกทางอุโมงค์ที่ 1 ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุดที่จะเดินไปยังจุดชม ต้นไม้พันปี นั่นเองจ้า
สำหรับอุโมงค์ปิยะมิตรแห่งนี้ ได้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2519 โดยใช้กำลังคนในการสร้างอุโมงค์มากถึง 40 - 50 คน และแล้วเสร็จในเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น ซึ่งอุโมงค์แห่งนี้มีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร สามารถจุคนได้เกือบ 200 คน และภายในอุโมงค์ได้แบ่งสัดส่วนออกเป็นหลายส่วน เช่น ห้องนอน ห้องเก็บเสบียง ห้องนั่งเล่น เป็นต้น
หลังจากที่ทุกคนได้เดินชมห้องต่างๆ ภายในอุโมงค์ และถ่ายรูปกับต้นไม้พันปีกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พี่คนขับรถก็พาพวกเราไปเยี่ยมชมสถานที่ถัดไปนั่นคือ “ด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย” ้นั่งเองจ้า โดยระหว่างที่พวกเรากำลังเดินทางไปนั้น ฝนก็ดันตกซะได้ ฮ่าๆๆ ทำให้พวกเราต้องหยุดรอให้ฝนมันซาๆ กันสักพัก ถึงพากันลงไปถ่ายรูปกับป้ายใต้สุดแดนสยาม จากนั้นพี่คนขับรถก็พาเราไปถ่ายรูปเล่นกันที่ “สนามบินเบตง” ซึ่ง ณ ตอนนั้นที่ข้าพเจ้าไป สนามบินยังไม่เปิดทำการเนื่องจากสถานการณ์โควิด พวกเราก็เลยเดินเล่นและถ่ายรูปกัน ณ บริเวณด้านนอก ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าสนามบินเบตงแห่งนี้มีความน่ารักและมีสไตล์เป็นของตัวเองเป็นอย่างยิ่งเลยแหละพี่น้อง ^^
สุดท้ายสำหรับทริปวันนี้ ก็คือ พี่คนขับรถได้พาพวกเราไปเดินเล่น ดูวิถีชีวิตของชาวเบตงกันที่ สนามกีฬาเบตง โดยข้าพเจ้าก็เดินเล่น นั่งสนทนากับเพื่อน และเดินไปถ่ายวิวเมืองเบตงกันสักพัก ก็ได้เวลากลับเข้าที่พักกันแล้ว จบแล้วสำหรับทริปดีดีในวันนี้ ^^ โดยในวันพรุ่งนี้ ข้าพเจ้าต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อที่จะเดินทางไปพิชิตยอดเขา “ฆูนุงซีลีปัต” ข้าพเจ้าเลยเข้าที่พัก อาบน้ำและไปหาของกิน เดินเล่นพักนึง และกลับเข้าที่พัก เตรียมตัวนอน แล้วเจอกันวันพรุ่งนี้ ^^
Day 4: 16 OCT 2020 - สำหรับวันนี้ ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้ร่วมทริปก็ตื่นกันแต่เช้าตรู่อีกเช่นเคย เพื่อที่จะเดินทางไปพิชิตยอดเขา “ฆูนุงซีลีปัต” อีกหนึ่งยอดเขาที่ท่านทั้งหลายสามารถมองเห็นทะเลหมอกกันได้แบบ 360 องศา กันเลยทีเดียว โดยยอดเขาแห่งนี้มีความสูงอยู่ที่ 607 เมตร จากระดับน้ำทะเล นั่นเองจ้า :)
ข้าพเจ้าและเพื่อนร่วมทริปออกจากที่พักเวลาประมาณตีสี่เกือบๆ ตีห้า ถ้าข้าพเจ้าจำไม่ผิด โดยมีรถสองแถวมารับเราเหมือนเดิม ข้าพเจ้าจำได้ว่าเราใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ในการเดินทางโดยรถสองแถวจนถึงจุดที่เราต้องเดินเท้า ซึ่งหลังจากที่เราเดินไปถึงแล้ว ข้าพเจ้าและเพื่อนร่วมทริปก็เตรียมตัวเดินขึ้นยอดเขา โดยตอนที่พวกเราไปถึงนั้นฟ้ายังไม่สางเท่าไหร่ ทำให้ต้องใช้ไฟฉายตลอดเส้นทาง โดยระยะทางเดินในช่วงแรกนั้นเป็นทางเดินแบบเรียบๆ แต่จะเป็นเนินที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกเราเดินกันมาได้สักพักเส้นทางก็เริ่มชั้นขึ้นเรื่อยๆ ฮ่าๆๆ แต่ละคนก็ค่อยๆ เดินกันไป เพราะยังมืดอยู่และชันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในที่สุดพวกเราก็เดินกันขึ้นมาถึงยอดเขาจนได้ ฮ่าๆๆๆ
“ฆูนุงซีลีปัต”
หลังจากใช้ระยะเวลาประมาณเกือบๆ ชั่วโมง (ข้าพเจ้าจำไม่ค่อยได้ว่าใช้เวลานานเท่าไหร่ แต่ก็ราวๆ นี้แหละ ^^) พวกเราก็ทำสำเร็จ และขึ้นมาบนยอดเขาแห่งนี้กันจนได้ ข้าพเจ้าขอบอกเลยว่าบรรยากาศด้านบนนั้นดีมากๆ แต่น่าเสียดายช่วงที่ข้าพเจ้าไปนั้น ยังเห็นหมอกได้ไม่เต็มตา เห็นเป็นเพียงสายหมอกจางๆ แต่ว่าบรรยากาศดีสุดๆ ไปเลย ^^
พวกเราใช้เวลาอยู่บนยอดเขาฆูนุงซีลีปัสกันสักพัก ก็พากันเดินลง โดยขาลงนั้นก็ต้องค่อยๆ ลงกันช้าๆ เพราะทางค่อนข้างชันและลื่น ซึ่งข้าพเจ้าก็ลื่นล้มไปสองครั้งกันเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ และทริปสำหรับวันนี้ก็สิ้นสุดลง ข้าพเจ้าและเพื่อนร่วมทริปก็เตรียมตัวออกเดินทางเพื่อไปยังสถานีรถไฟยะลา โดยได้ให้รถแท็กซี่มารับเราที่โฮสเทลเวลาเที่ยงตรง และก่อนจะกลับข้าพเจ้าก็อยากจะบอกว่า ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจกับการเดินทางในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ทั้งความเป็นมิตรของที่พักอย่างโฟโต้โฮสเทล และความเป็นมิตรของเพื่อนร่วมทริปในครั้งนี้ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้รับทั้งประสบการณ์ดีดีและยังได้แชร์ประสบการณ์ในการเดินทางต่างๆ ร่วมกันอีกด้วย ^^ แล้วเจอกันทริปหน้าน้า :)
อ้างอิง
https://bit.ly/3Fx21eT
1 บันทึก
4
1
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย