19 ม.ค. 2022 เวลา 12:19 • ไลฟ์สไตล์
“พวกเราเกิดขึ้นมาทำไม ? … ภาระกิจที่แท้จริง คืออะไร ? ”
“ … พระพุทธองค์ตรัสว่า
จิตนี้ประภัสสรผ่องใสมาแต่เดิม
แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสจรมา
เพราะความไม่รู้แจ้งแห่งพระสัทธรรม
จึงถูกอวิชชาเป็นเครื่องกั้น ถูกตัณหาเป็นเครื่องผูก
จึงท่องเที่ยวไปในวัฏสงสารอย่างยาวนาน
ไม่สามารถที่จะกำหนดถึงที่สุดแห่งเบื้องต้น
ถึงที่สุดแห่งเบื้องปลายได้เลย
ขันธ์ ๕ ก็คือ สรรพสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็หมุนวน
ภายใต้เนื้อธรรมชาติของวัฏสงสารใบนี้นั่นเอง
เพราะความไม่รู้แจ้ง ก็คือ อวิชชาที่ครอบงำ
จึงเกิดการหลงยึดติดในขันธ์ ๕ ขึ้นมา
ก็จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า เป็นตัวเป็นตน ขึ้นมา
ความเป็นตัวเรา มันเกิดจากอุปาทาน
ก็คือ การหลงยึด นั่นแหละ
เพราะความไม่รู้ ก็คือ อวิชชาที่มันห่อหุ้มอยู่
เมื่อไม่รู้ เมื่อหลงยึด
มันก็ต้องเวียนเกิดเวียนตายแบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
หลงทำกรรม ก็เกิดวิบาก วิบาก
เมื่อหนี้มาก
มันก็เป็นวังวนของวัฏฏะไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
จนกว่าเราจะได้มีโอกาสพบพระพุทธศาสนา
ได้มีโอกาสฟังพระสัทธรรม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ทรงอุบัติขึ้นมาก็เพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุขแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
ดั่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า
หากว่าโลกนี้ไม่มีธรรมชาติที่ชื่อว่า
การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย
ก็จะไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก
พระสัทธรรมก็ไม่ต้องแพร่หลายไปทั่วโลก
แต่เพราะว่าโลกนี้มีธรรมชาติที่ชื่อว่า
การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย
จึงต้องมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก
พระสัทธรรมจึงต้องแพร่หลายไปทั่วโลก
1
พระพุทธศาสนา คือ ความสว่างไสว
ที่นำทางให้กับพวกเราทุกคน ได้ตื่นขึ้น
ได้ก้าวเดินในวิถีที่ถูกต้อง
เพื่อหลุดออกจากวังวนตรงนี้นะ
แก่นแท้ คือ ความบริสุทธิ์
เมื่อมันหยาดเข้ามาสู่วังวนของวัฏฏะแล้ว
มันมีแต่จมอยู่ในวังวน ไม่มีที่สิ้นสุด
จนกว่าเราจะได้มีโอกาสพบพระพุทธศาสนานั่นเอง
เมื่อได้ฟังธรรม ก็จะเกิดศรัทธา
สำหรับคนที่อบรมวาสนาบารมีมาเพียงพอ
พอได้สดับพระสัทธรรมก็จะเกิดศรัทธาเลย ความเลื่อมใส
พอเกิดศรัทธาก็จะเริ่มน้อมไปเพื่อการฝึกปฏิบัติ
เริ่มรู้จักการให้ทาน
การสละ ละ วาง ความตระหนี่ถี่เหนียว มลทินในจิตใจ
รู้จักในการรักษาศีล การสำรวมตนเอง
การงดเว้นจากการเบียดเบียน
รู้จักในการฟังธรรมปฏิบัติธรรม การเจริญภาวนาต่าง ๆ
เรียกว่า เริ่มเดินในมรรควิธีที่ถูกต้อง ได้ชำระตนเอง
1
เมื่อได้มีโอกาสเดินในมรรควิธีที่ถูกต้อง
ได้อบรมตนเองด้วยสติปัฏฐาน
จิตปุถุชนที่ไม่เคยฝึกที่หลงยึดอยู่กับสิ่งต่าง ๆ
ที่เรียกว่า “หลงในขันธ์ทั้ง ๕”
ก็จะเริ่มคลายตัวออกนั่นเอง
ในขณะที่เรามีสติ
อาการที่หลงยึดหรือความเพลิดเพลินในอารมณ์ต่าง ๆ
มันก็จะถูกละออกไป ละออกไป
เรียกว่า จิตมันเริ่มคลายจากอารมณ์ จากความยึดมั่นต่าง ๆ
เมื่อฝึกปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จนมีจิตใจที่ตั้งมั่น ตื่นอยู่
จิตมันหลุดจากอารมณ์ต่าง ๆ
หลุดจากการยึดมั่นถือมั่น
แต่ว่า เรียกว่า อุปาทานเบื้องปลาย มันหลุดไปแล้ว
การหลงยึดอารมณ์ต่าง ๆ
แต่ว่า อุปาทานเบื้องต้น ที่เป็นต้นตอของการเวียนว่ายตายเกิด
ก็คือ อวิชชชาที่มันห่อหุ้มอยู่นั่นเอง
มันยังหลงยึดอยู่
เราก็ต้องเพาะบ่มเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะตรงนี้
ที่มันมีความเติบโต จนตื่นขึ้นมา จนเกิดการผลิบานออกมา
ที่เรียกว่า “พุทธสภาวะ” รู้ ตื่น เบิกบาน
เมื่อเกิดสภาวะ รู้ ตื่น เบิกบาน
อวิชชาที่มันห่อหุ้มเรามาอย่างยาวนาน นับภพชาติไม่ถ้วน
มันจะถูกเพิกออกไป
เมื่อถูกเพิกออกไป ธรรมทั้งหลายก็จะปรากฏตามความเป็นจริง
เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
รู้ในอริยสัจ ๔
รู้ทุกข์ ก็คือ สภาวะที่มันเป็นไปตามความเป็นจริง เห็นตามความเป็นจริง
หมู่สัตว์ในวัฏฏะ ส่วนใหญ่ยังหลับใหล
ก็จะไม่ได้เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง
เห็นแบบ ความหลง
ที่เราเห็นโลกเป็นสิ่งต่าง ๆ มันเห็นแบบสมมติของโลก
มันยังไม่ใช่การเห็นตามความเป็นจริง
จนกว่าเราจะได้เพาะบ่มสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของตน
จนมันเติบโตแล้วผลิบานออกมา
สามารถเพิกอวิชชาออกไปจากใจได้
ก็จะหลุดจากการยึดมั่นในขันธ์ทั้ง ๕​
1
ธรรมทั้งหลายก็จะปรากฏตามความเป็นจริง
สามารถยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาญานได้
เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
ก็จะพบว่าสรรพสิ่งในวัฏฏะ มันเป็นเพียงสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งปวงล้วนดับไปเป็นธรรมดา
ทุกสรรพสิ่งก็เป็นเช่นนั้นเอง
รู้ทุกข์ คำว่า ทุกข์ ก็คือ สภาวะที่มันทนอยู่ไม่ได้
มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ต้องสลายตัวไป
เกิดขึ้นแล้วมันก็ต้องสลายตัวไป
สรรพสิ่ง รูปนาม ขันธ์ ๕ มันก็เป็นเช่นนั้น
สิ่งต่าง ๆ มันก็เกิดขึ้นแล้วมันก็สลายไป
เมื่อเกิดการเห็นตามความเป็นจริง
ย่อมเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด
เกิดความจางคลาย เกิดความสิ้นอาลัยในตัณหา
สามารถละเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
คือ ความทะยานอยาก ตัณหาอุปาทานได้
ก็จะหลุดจากการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง
สามารถสลัดคืนสู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
1
คืนสู่เนื้อความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
ภาษาพระท่านเรียกว่า นิโรธ
กระบวนการรู้อริยสัจ ๔
รู้ทุกข์ ละเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
เข้าถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เมื่อสลัดคืนสู่ความบริสุทธิ์ ก็จะมีโอกาสที่ได้จะได้ชำระตนเอง
เพราะว่า สิ่งที่เราจะชำระวิบากกรรม
ที่มันเป็นพลังงงานด้านมืดได้
ก็ชำระกันด้วยพลังงานบริสุทธิ์นั่นเอง
ก็คือด้วยพลังธรรมชาตินั่นแหละ
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมะเยียวยาทุกสิ่ง
มันเยียวยาจริง ๆ มันเยียวยาระดับแก่นของเรา
การที่เราเข้าถึงความบริสุทธิ์
มันเป็นการเยียวยาในระดับสิ่งที่มันเป็นแก่นของเราเลย
แล้วมันจะซึมเยียวยาจากภายในสู่ภายนอก
มันจะเกิดกระบวนการชำระ
เราก็ต้องชำระแบบนี้อยู่ร่ำไป ที่เรียกว่า การรู้อริยสัจ ๔
รู้ทุกข์ ละเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
เข้าถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
แล้วก็เจริญข้อปฏิบัติให้เข้าถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
ทำไมมรรควิธีพระพุทธเจ้าถึงจัดไว้เป็นข้อสุดท้าย ?
จริง ๆ มันควรจะเป็นข้อแรกถูกไหม ?
ก็เพราะว่าเมื่อสลัดคืนสู่ความบริสุทธิ์ เกิดการชำระตนเอง
มันก็ต้องชำระแบบนี้เรื่อยไปนะ
เราสะสมหนี้เวรหนี้กรรมมาเท่าไหร่ล่ะ
จะจบได้ มันก็ต้องเคลียร์จนหมดสิ้นนั่นแหละ
เปรียบเหมือนทางโลกนะ
เราไปกู้หนี้ยืมสินมีหนี้มาเท่าไหร่
จะจบได้มันก็ต้องชดใช้จนกว่ามันจะหมดสิ้น
ไม่เป็นภาระของธรรมชาติ ไม่เป็นภาระของใคร
มันต้องเคลียร์ทุกอย่างจนหมดจดนั่นเอง มันถึงจะจบได้
การหลุดพ้นแบบนี้ มันหลุดพ้นแบบชั่วคราว
จนกว่าเราจะชำระหนี้จนหมด
ถึงจะเป็นการหลุดพ้นที่เรียกว่า สมุปเฉทปหาน
คือ ถาวรแล้ว หมดจดแล้ว หมดแล้ว
ไม่มีสิ่งที่ติดค้างใด ๆ ทั้งสิ้นต่อธรรมชาติหรือต่อหมู่สัตว์ด้วยกัน
ก็ต้องชำระแบบนี้ ที่เรียกว่ากระบวนการรู้อริยสัจ ๔
ชำระไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะชำระล้างบาปและอกุศลธรรมจนหมดสิ้นไป
เรียกว่า เคลียร์จนหมดแล้ว หนี้เวรหนี้กรรม จนหมดสิ้นไป
ไม่มีสิ่งใด ๆ ที่เราติดค้างต่อกันและกัน
ต่อธรรมชาติ ไม่มีแล้ว หมดจดแล้ว
จึงเป็นผู้ที่เรียกว่า บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยสิ้นเชิงแล้ว
ดุจเหมือนสังข์ที่ขัดอย่างดี จนขาวรอบ
ไม่มีมลทินเหลืออยู่เลย
ไม่มีอาสวะอะไรติดค้างใด ๆ ทั้งสิ้น
จึงจะเรียกว่า เป็นผู้ที่มีสติสมบูรณ์
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระอรหันต์ เป็นผู้ที่มีสติสมบูรณ์
เพราะว่าหมดจดแล้ว
ดุจสังข์ที่ขัดดีแล้ว ขาวรอบแล้ว
อย่างนี้ก็เหมือนพระจันทร์ที่ผ่องแผ้วอยู่กลางท้องฟ้า
ไม่มีสิ่งยึดโยงใด ๆ กับโลกแล้ว เป็นความบริสุทธิ์
เพราะฉะนั้นเนื้อความบริสุทธิ์
จะไม่เกาะเกี่ยวกับสิ่งใด ๆ ในโลก พ้นแล้ว
ต่อให้ยังมีกายสังขารอยู่ก็พ้นแล้ว
ไม่ติดข้องกับอะไรในโลกทั้งสิ้น
มีแต่ความบริสุทธิ์
มีแต่ความเอื้ออารีย์
มีแต่ความเมตตา
เหมือนพระจันทร์ที่งามกระจ่างกลางท้องฟ้า
อวิชชาเปรียบเหมือนเมฆหมอกที่เข้ามาบดบัง
มันทำให้ความบริสุทธิ์ถูกปกคลุมอยู่นั่นเอง
ก็ต้องมาขัดจนขาวรอบ เพิกอวิชชาออกไปจากใจ
แล้วก็ชำระสิ่งที่มันเป็นวิบาก
ที่มันเป็นผลที่เกิดมาภายหลังนั่นเอง
เมื่อหมดจดแบบนี้แล้ว เคลียร์หมดสิ้นแล้ว
เปรียบเหมือนเรามีหนี้ เราก็เคลียร์หมดแล้ว
ทีนี้เราก็จะสามารถซึมคืนสู่อมตธรรม
ซึ่งมันเป็นแก่นแท้ที่เราได้จากมา
ที่เรียกว่า บ้านที่แท้จริง นั่นเอง
ซึมสู่อมตธรรม คืนสู่เนื้อที่เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์
พบกับความสงบสุขที่แท้จริง คือ พระนิพพานได้
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
ความสงบระงับแห่งสังขารทั้งปวงเป็นสุข
พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
พระนิพพาน คือ บรมสุข
คือ ความสงบสุขที่แท้จริง
ธรรมชาติทุกคนปรารถนาความสุขทั้งนั้น
พระนิพพาน คือ ปลายทางที่แท้จริงของพวกเราทุกคน
เพราะฉะนั้น นี่คือภาระกิจที่แท้จริงของทุกดวงจิตในวัฏสงสาร
ใครตื่นขึ้นก่อน ก็ก้าวเดินก่อน
เมื่อก้าวเดินก่อน ก็ถึงก่อน
เมื่อถึงก่อน ก็พ้นก่อน
ก็คืนสู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติได้
นี่คือวิถีของทุกคน
ฉะนั้น หากจะมีคำถามว่า พวกเราเกิดขึ้นมาทำไม ?
ก็ตอบแบบตรง ๆ เลย
เกิดมาเพื่อตื่นขึ้น เพื่อก้าวเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง
เพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
เพื่อคืนสู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
พบกับความสงบสุขที่แท้จริง คือ พระนิพพานได้
นี่คือ ภาระกิจที่แท้จริง ของพวกเราทุกคนนะ … “
.
ธรรมบรรยาย
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา