16 ม.ค. 2022 เวลา 18:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
แด่หัวใจที่มีความฝัน ขอให้ส่งเสียงไปถึง CODA
CODA ย่อมาจาก Child of Deaf Adults เล่าเรื่องของ รูบี้ สาวน้อยไฮสคูลธรรมดาผู้มาจากครอบครัวที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน (Deaf) มีเธอเพียงคนเดียวที่สามารถสื่อสารได้ปกติ นั่นจึงทำให้เธอกลายเป็นคนที่สำคัญคอยเชื่อมครอบครัวของเธอเข้ากับโลกภายนอก เธอคอยช่วยเหลือพ่อและพี่ชายกับธุรกิจเรือประมงหาปลาทุกเช้า เมื่อช่วยเสร็จก็ต้องไปโรงเรียนต่อ ผลการเรียนออกมาไม่ดีนัก มีเพียงการร้องเพลงเท่านั้นที่เธอชื่นชอบอย่างชัดเจน
เธอมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ช่วยกิจการครอบครัวต่อไป ก่อนที่วันหนึ่งเธอจะได้ตัดสินใจลงวิชาดนตรีประสานเสียง (Choir) ซึ่งนำพาเธอมาพบกับความฝัน ความเป็นจริงและความฝันของเธอทับซ้อนกันอย่างน่าเศร้าใจและน่าอบอุ่นไปพร้อมๆกัน
กว่าจะรู้ว่าเป็นภาพยนตร์ original จาก Apple TV ก็หลังจากที่รับชมภาพยนตร์จบแล้ว แถมเมื่อเช็คเว็บไซต์ต่างๆก็พึ่งมารู้อีกว่าเป็นเนื้อหาที่รีเมคมาจากภาพยนตร์สัญชาติฝรั่งเศสเรื่อง La Famille Belier เมื่อปี 2014
โดยรวมแล้ว บอกเลยว่าเกินความคาดหวังเอามากๆ แม้ว่าจะมีเนื้อหาเส้นเรื่องที่ปกติธรรมดาตั้งแต่ต้นจนจบ (ตามสูตร) แต่ว่าการผูกปมทำได้ดี จนประเด็นต่างๆกระจ่างแบบละเอียดและบวกกับ direction ของผู้กำกับ Sian Heder ที่จัดแจงมันออกมายอดเยี่ยมจนเกือบน้ำตาแตก จะขอพูดถึงประเด็นที่โดดเด่นในสายตาผมเท่านั้นนะครับ
ความอบอุ่นของครอบครัวเป็นสิ่งที่สื่อออกมาได้ชัดเจนยิ่ง จุดนี้ต้องยกย่อง performances ของเหล่านักแสดงเลยครับ รูบี้ นำแสดงโดย Emilia Jones มีความน่ารักสมวัย เธอเล่นตามบทได้อย่างลื่นไหล ทั้งการพูดและการใช้ภาษามือ (Sign Language) ทำได้อย่างดี แถมยังมีน้ำเสียงที่ไพเราะมีพลัง ทำให้ภาพยนตร์ดำเนินไปอย่างเพลิดเพลิน อีกด้านนึง บทของหวานใจหนุ่มของรูบี้อย่าง ไมลส์ ก็แสดงได้พอใช้ รับบทโดย Ferdia Walsh-Peelo (เจ้าหนุ่มแก้มแดงจากเรื่อง Sing Street ดีใจที่ได้เห็นบนจอใหญ่)
สำหรับครอบครัวของรูบี้ รับบทโดยนักแสดงหูหนวกทั้งชุเ ประกอบไปด้วย พ่อ แฟรงค์ นำแสดงโดย Troy Kotsur ซึ่งแสดงได้ดีมากๆ แม่ แจ็คกี้ แสดงโดย Marlee Matlin (เคยได้รับรางวัล oscar สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากเรื่อง Children of a Lesser God) และพี่ชาย ลีโอ นำแสดงโดย Daniel Durant ทั้งสามคนนี้ทำให้ CODA มีอะไรมากกว่าภาพยนตร์ฟีลกู๊ดธรรมดาๆด้วยการแสดงโดยใช้ภาษามือเป็นหลัก มีเคมีที่เข้ากัน เสมือนเป็นครอบครัวกันจริงๆ เป็นการแสดงที่พิเศษเอามากๆ
และคุณครูผู้สอนวิชาดนตรี มิสเตอร์วี นำแสดงโดย Eugenio Derbez มีคาแรคเตอร์ที่โดดเด่นเอาการ แต่กลับไม่มีพลังนัก แต่ถึงอย่างนั้น สายตาของเขาที่มีต่อลูกศิษย์นั้นเป็นอะไรที่จริงใจมาก สามารถสัมผัสได้โดยชัดเจน พอเห็นคุณครูแบบนี้แล้ว นึกเสียใจเลยว่าชีวิตนี้ไม่เคยเจอคุณครูแบบนี้เลยสักครั้ง
การกำกับของ Sian Heder ทำได้ดีมาก หนังมีองค์ประกอบที่ดีระดับนึง ธรรมดาแต่ลงตัว งานภาพหรือเทคนิคก็มิได้หวือหวาพิเศษอะไรมาก มี soundtracks ที่ใช้ได้อย่างถูกจังหวะ พยายามใส่ความคาบเกี่ยวไว้หลายประเด็น แต่สิ่งที่คาบเกี่ยวที่สุดในเรื่องคือการขมวดปมการร้องเพลงกับความบกพร่องทางการได้ยิน ซึ่งทำได้อย่างละเอียดอ่อนสุด
ไม่ว่ายังไงก็อยากให้ได้รับชมกันในโรงภาพยนตร์ หนังเข้าตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และยังพอมีรอบอยู่ ผมรับชมที่โรงภาพยนตร์ House Samyan ครับ
ขอพูดถึงเนื้อหาบางส่วนภายในเรื่องนะครับ (spoiler alert!)
ในช่วงท้ายที่การแสดงคอนเสิตของรูบี้ กำลังดำเนินไปด้วยบทเพลง You're All I Need to Get By ทันใดนั้นกลับตัดเสียงออกทั้งหมด พาเราเข้าไปอยู่ในโลกของคนหูหนวกได้อย่างงดงาม ถ้าผมไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อตรงจุดนี้ ผมคงสอบตกอย่างจัง รูบี้ร้องเพลงอยู่ตลอดขณะหาปลากับที่บ้าน แต่พวกเขาไม่เคยได้ยินเลยสักนิด จนถึงครานี้ "I would give anything to be able to hear you sing right now"
มาถึงฉากสุดท้ายก็คือ โอโห ใจเต้นขนลุกน้ำตาจะไหล มันให้อารมณ์ประมาณเดียวกับตอนรับชมเรื่อง Little Miss Sunshine (2006) เลย กับฉากเพลง Both Sides Now ของ Joni Mitchell (ศิลปินคนโปรด) ซึ่งถือเป็น Highlight และเป็นฉากที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ เป็น combination ที่งดงามมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ด้วยอานุภาพของเพลงที่กำลังบรรเลงและการใช้ภาษามือไปด้วย อบอุ่นแบบหาที่สุดมิได้
สรุป มันช่างเป็นภาพยนตร์ที่อบอุ่นอะไรเยี่ยงนี้ ขอชื่นชมการแสดงด้วยหัวใจ ถ้าหัวใจไม่ไร้เสียงล่ะก็ คุณก็คงสัมผัสอารมณ์นี้ได้
⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️
โฆษณา