17 ม.ค. 2022 เวลา 02:49 • ธุรกิจ
มีทั้งข้อดีและข้อเสียจากการเรียนรู้ทั้งสองแบบ
เรียนรู้หลายสิ่งพร้อมกัน จะรู้กว้างรู้เยอะแต่จะรู้ไม่ลึก ไม่เหมาะกับงานที่เป็น technical ที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ ความชํานาญบางอย่าง แต่อาจจะเหมาะกับงานที่ใช้การบริหารหรือจัดการเป็นหลัก การเรียนรู้แบบนี้ไม่ต้องรู้ลึกลงไปในรายละเอียดของแต่ละอย่าง แต่รู้คร่าวๆ เหมือน black box ที่เราสนใจ input output ไม่ต้องไปสนใจข้างใน box และเราก็เรียนรู้ หลายๆ black box พร้อมกันได้ ข้อดีของการรู้กว้างๆ รู้เยอะ คือหางานง่าย และปรับตัวเข้ากับงานได้ง่าย เพราะมีmindset เปิดกว้าง เหมาะที่จะโตในสายบริหารหรือทําโครงการ( project management) ข้อเสียคือ ถ้าเรียนรู้เยอะเกินไปหรือเรียนรู้แบบเป็ด หรือจับฉ่ายที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน เช่น รู้นก รู้ปลา รู้ฟ้า รู้ดาว ก็จะฟุ้งซ่าน เอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้
ส่วนการรู้เฉพาะเรื่องหรือโฟกัสไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง จะเข้ากับสายงาน พวก specialist หรือ professional คือรู้จริง รู้ลึก เหมาะกับพวกงานเทคนิคที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่าง เช่น แพทย์ วิศวกร นักวิจัย ช่าง สถาปัตย์ ทนาย บัญชี ผู้เชี่ยวชาญอะไรบางอย่าง การเรียนรู้แบบนี้ต้องเลือกสายงาน หรือความชอบให้ถูกกับความต้องการของตลาดแรงงาน แต่ถ้าเลือกไม่ถูกหรือเลือกไม่เป็น ความรู้ที่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ใช้งานไม่ได้ เพราะไม่เป็นที่ต้องการ ข้อดีของพวก specialist คือถ้าความรู้ตรงกับตลาดที่ต้องการจริง เงินเดือนค่าตอบแทนจะสูงมาก แต่ข้อเสียคือถ้า specialist เฉพาะอย่างที่ตลาดแรงงานไม่กว้าง เป็นแบบเชี่ยวชาญเฉพาะกลุ่ม เวลาตกงานก็จะหางานยากเช่นกัน ข้อเสียอีกอันที่เห็นคือจะโตในสายบริหารค่อนข้างยาก เพราะ mindset ไปทางนี้แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าจะโตไม่ได้ คนที่โตในสายนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกอินดี้หรือออกแนวศิลปินหน่อยๆ
โฆษณา