18 ม.ค. 2022 เวลา 02:12 • ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ “คาเวียร์ (Caviar)”
1
หลายคนน่าจะรู้จัก หรือเคยได้ลองชิม “คาเวียร์ (Caviar)”
1
คาเวียร์ถูกจัดเป็นอาหารหรูที่มีราคาแพง หากแต่ก็มีความเป็นมาที่น่าสนใจ
1
ก่อนจะรู้จักคาเวียร์ เราควรต้องรู้จัก “ปลาสเตอร์เจียน (Sturgeon)” กันก่อน
1
ปลาสเตอร์เจียน (Sturgeon)
อาจจะเรียกได้ว่า ปลาสเตอร์เจียนเป็นหนึ่งในสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งบนโลก
1
นักวิทยาศาสตร์บางรายประเมินอายุของปลาชนิดนี้ว่ามีมานานกว่า 250 ล้านปี โดยปลาสเตอร์เจียนที่พบนั้น อาจจะมีน้ำหนักถึงหนึ่งตัน และสามารถมีอายุยืนกว่า 100 ปี
2
เป็นเวลานับพันปีที่ปลาสเตอร์เจียนถูกจับ และถูกนำไปบริโภค หากแต่ในทุกวันนี้ ชื่อเสียงของปลาสเตอร์เจียนมาจากผลิตภัณฑ์ล้ำค่าที่เรียกว่า “คาเวียร์ (Caviar)”
2
ในบรรดาปลาสเตอร์เจียนกว่า 27 สายพันธุ์ มีเพียงเจ็ดสายพันธุ์เท่านั้นที่ถูกเลี้ยงเพื่อเอาไข่ หรือก็คือสิ่งที่คนทั่วไปรู้จักในนามของ “ไข่ปลาคาเวียร์”
1
ไข่ปลาคาเวียร์ เป็นอาหารที่แพร่หลายในหลายดินแดน ตั้งแต่จักรวรรดิไบแซนไทน์ กรีก อียิปต์ ไปจนถึงจักรวรรดิเปอร์เซีย
1
โดยปกติแล้ว คาเวียร์จะมาจากปลาที่ไม่ใช่ปลาเลี้ยง แต่เป็นปลาที่ถูกจับได้จากทะเลแคสเปียนและทะเลดำ แต่ในแต่ละประเทศก็มีปลาสเตอร์เจียนที่จับได้แตกต่างกันไป โดยที่แพงที่สุด ก็คือ “เบลูกา คาเวียร์ (Beluga Caviar)” ซึ่งพบได้ในปลาสเตอร์เจียนในทะเลแคสเปียนเท่านั้น
3
แรกเริ่มเดิมที ปลาสเตอร์เจียนไม่ได้ถูกจับเพื่อเอาไข่ แต่ถูกจับมาเพื่อกินเนื้อเหมือนปลาทั่วๆ ไป แต่ชาวประมงก็สังเกตได้ว่าปลาสเตอร์เจียนตัวเมียหลายตัวนั้น มีไข่อยู่ภายในตัวเป็นจำนวนมาก
1
ชาวประมงจึงกินไข่ปลาสเตอร์เจียน โดยมักทานกับข้าวต้มข้าวโอ๊ต ทำให้ในระยะแรกนั้น คาเวียร์เป็นอาหารของคนทั่วๆ ไป ไม่ใช่อาหารหรู
2
มาถึงกลางศตวรรษที่ 13 องค์พระประมุขแห่งรัสเซียเริ่มจะทรงลองชิมคาเวียร์ และแพร่หลาย กลายเป็นอาหารเลิศรสในราชสำนัก เป็นที่โปรดปรานของเหล่าพระราชวงศ์รัสเซีย
2
ในไม่ช้า คาเวียร์ก็กลายเป็นอาหารมีระดับของรัสเซีย ก่อนจะมีการส่งออกไปยังราชสำนักและสังคมชั้นสูงทั่วยุโรป
2
“พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2 แห่งอังกฤษ (Edward II)” ทรงออกพระราชกฤษฎีกา กำหนดให้ปลาสเตอร์เจียนเป็น “ปลาหลวง” ซึ่งหมายถึงว่าปลาสเตอร์เจียนทุกตัวเป็นของพระองค์
4
แต่ถึงอย่างนั้น คาเวียร์ที่ได้รับการยกย่องและยอมรับว่าดีที่สุด ก็มาจากปลาสเตอร์เจียนขาว (Beluga) จากทะเลแคสเปียนและทะเลดำ ทำให้รัสเซียเรียกได้ว่าผูกขาดตลาดคาเวียร์เลยก็ว่าได้
1
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2 แห่งอังกฤษ (Edward II)
ในขณะที่คาเวียร์ในยุโรปมีราคาแพง แต่ที่สหรัฐอเมริกา คาเวียร์นั้นมีราคาถูก ถูกมากซะจนบางทีแจกฟรี
2
ที่เป็นอย่างนี้ก็เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของปลาสเตอร์เจียนในน่านน้ำอเมริกัน ที่ถึงแม้จะแตกต่างจากปลาสเตอร์เจียนขาว หากแต่ก็แพร่หลายไปทั่วโลกในศตวรรษที่ 19 โดยทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของชายที่ชื่อ “เฮนรี แชคท์ (Henry Schacht)”
1
แชคท์เป็นชาวเยอรมันที่ย้ายมาสหรัฐอเมริกา และก็ทราบดีถึงปริมาณความต้องการคาเวียร์ในยุโรป เขาจึงเริ่มส่งออกคาเวียร์จากสหรัฐอเมริกาไปยุโรปในปริมาณมาก ทำให้คาเวียร์ได้รับความนิยมในวงกว้าง
1
ชนชั้นกลางที่เริ่มจะมีเงินต่างก็อยากลิ้มลองคาเวียร์ ซึ่งนี่คือตลาดใหญ่ที่สำคัญของคาเวียร์ และที่ตลกก็คือ คาเวียร์ที่ส่งออกจากสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก ก็ถูกนำไปรีแพ็คเกจ และส่งกลับมาขายยังสหรัฐอเมริกา โดยอ้างว่านี่คือคาเวียร์จากรัสเซีย
4
แต่ผ่านไปไม่กี่สิบปี ปลาสเตอร์เจียนในน่านน้ำอเมริกันก็ลดปริมาณลงอย่างมากจนแทบจะสูญพันธุ์ ทำให้ในยุค 60 (พ.ศ.2503-2512) เริ่มมีการใช้คาเวียร์จากปลาชนิดอื่นๆ
5
ในทุกวันนี้ คาเวียร์คือสินค้าราคาแพง โดยคาเวียร์ที่มาจากเบลูกา คาเวียร์ที่หายากนั้น หากคิดเป็นเงินไทย อาจจะมีราคากิโลกรัมละหลักแสนบาทเลยทีเดียว
2
แต่ถึงอย่างนั้น ในปัจจุบัน หลายคนก็เป็นห่วงว่าหากปริมาณความต้องการคาเวียร์เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จะเป็นอันตรายต่อสายพันธุ์ปลาที่นำมาใช้ทำคาเวียร์ ซึ่งเสี่ยงจะสูญพันธุ์ได้
2
บางที การควบคุมปริมาณกับความต้องการในท้องตลาด ก็อาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่หลายฝ่ายต้องคำนึงถึง
1
โฆษณา