22 ม.ค. 2022 เวลา 02:50 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ความเสี่ยงของ การกระจายความเสี่ยง
1
“อย่าเอาไข่ทั้งหมด ไปใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว”
เป็นประโยคเชิงเปรียบเทียบในโลกของการลงทุนที่ว่า ไม่ควรเอาเงินทั้งหมดที่มีไปทุ่มกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาด เราอาจจะสูญเสียเงินทั้งหมดได้
5
ด้วยแนวคิดดังกล่าว จึงนำไปสู่กลยุทธ์กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ หรือ “Diversification”
เพื่อป้องกันการขาดทุนอย่างหนัก จากการลงทุนที่กระจุกตัวอยู่ในหุ้น อุตสาหกรรม หรือตลาดใดตลาดหนึ่งเท่านั้น
2
อย่างไรก็ตาม แม้การ Diversification จะช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากความเสียหายทั้งหมดจากการลงทุน
แต่มันก็มีข้อจำกัด และสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เมื่อใช้กลยุทธ์นี้
1
แล้วมีเรื่องอะไรที่ไม่ควรมองข้าม เมื่อเลือกใช้กลยุทธ์นี้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
1
ในทฤษฎีการเงินและการลงทุน ก็มีหลายแนวทางที่ช่วยลดความเสี่ยง หนึ่งในนั้นคือ การใช้กลยุทธ์กระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ต่าง ๆ
ซึ่งการกระจายการลงทุน มันก็แยกย่อยได้อีกหลายรูปแบบ เช่น
- กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ ฝากธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และทองคำ
- กระจายการลงทุนในตลาดหุ้น ทั้งต่างประเทศและในประเทศ
3
- กระจายการลงทุนในบริษัทที่อยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม
2
- กระจายการลงทุนในกองทุนรวมดัชนี (Index fund) ซึ่งเปรียบเสมือนการได้ลงทุนในหุ้นทุกตัวในดัชนีนั้น ๆ แทนที่จะลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง หรือหุ้นเพียงไม่กี่ตัว
กลยุทธ์ต่าง ๆ ที่ว่ามานั้น ถูกออกแบบมาเพื่อที่จะทำให้ความเสี่ยงของการลงทุนนั้น มีการกระจายตัว ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่ในหุ้น อุตสาหกรรม หรือตลาดใดตลาดหนึ่งนั่นเอง
1
อย่างไรก็ตาม แม้การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนไปได้
แต่ในอีกมุมหนึ่ง การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ “มากเกินไป” ก็มีสิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามด้วยเช่นกัน
2
แล้วมีอะไรบ้างที่เราต้องเข้าใจ และไม่ควรมองข้าม เวลาลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง ?
- มีโอกาสน้อย ที่จะได้รับผลตอบแทนในระดับสูง
ส่วนใหญ่เวลาลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง เราก็มักจะกระจายเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่แตกต่างกัน
พอเป็นแบบนี้ เวลาที่สินทรัพย์บางอย่างให้ผลตอบแทนสูง อีกสินทรัพย์ก็อาจจะให้ผลตอบแทนในทิศทางสวนทางกัน ทำให้เมื่อมาเฉลี่ยรวมกันแล้ว มีโอกาสน้อย ที่จะได้รับผลตอบแทนในระดับสูง ๆ
3
เช่น ในปีหนึ่งตลาดหุ้นให้ผลตอบแทน 10% ส่วนตลาดพันธบัตรให้ผลตอบแทน 5%
ถ้าเราเอาเงินทั้งหมดไปลงทุนในหุ้น แล้วได้ผลตอบแทนเท่ากับตลาด เราก็จะได้ผลตอบแทนเต็มที่ 10%
1
แต่ถ้าเราเอาเงินไปกระจายลงทุน ในหุ้นครึ่งหนึ่ง และพันธบัตรอีกครึ่งหนึ่ง
ผลตอบแทนที่เราได้ในปีนั้น ก็อาจจะอยู่ที่ราว ๆ 7.5%
หรือพูดง่าย ๆ คือ คนที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนลักษณะนี้ อาจได้รับผลตอบแทนเพียงค่าเฉลี่ยของตลาดเท่านั้น
เรื่องนี้ Peter Lynch อดีตนักลงทุน และผู้จัดการกองทุนรวมชื่อดังชาวอเมริกัน เคยออกมาบอกว่า
จริงอยู่ที่ว่า การกระจายความเสี่ยงจะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้ แต่นักลงทุนก็ไม่ควรกระจายความเสี่ยงมากจนเกินไป
เพราะนอกจากจะได้รับผลตอบแทน เพียงแค่ในระดับเฉลี่ยแล้วนั้น การติดตามสินทรัพย์ในจำนวนที่มากเกินไปก็ยังเป็นภาระของนักลงทุนเองด้วย
1
ซึ่ง Peter Lynch ก็เคยเขียนเอาไว้ในหนังสือ One Up On Wall Street ของเขาว่า
ถ้ากระจายการลงทุนมากจนเกินไป จากคำว่า Diversification อาจจะกลายเป็น “Diworsification” ที่แปลแบบง่าย ๆ ประมาณว่า “การกระจายการลงทุนที่แย่มาก”
- มีภาระเรื่องค่าธรรมเนียมที่มากขึ้น
การที่นักลงทุนพยายามลดความเสี่ยง ด้วยการไปลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย และในตลาดหลายแห่ง นอกจากจะมีภาระในเรื่องที่ต้องใช้เวลามากในการติดตามแล้ว
อีกสิ่งหนึ่งที่ตามมาก็คือ ภาระเรื่อง “ค่าธรรมเนียม” ที่เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
เช่น ถ้าเรามีผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคล
เขาก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูล ประเมินมูลค่า ศึกษาความเสี่ยงของสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่เราตั้งใจจะไปลงทุน เป็นจำนวนมาก ๆ หลายสินทรัพย์ หลายบริษัท ทำให้ค่าธรรมเนียมในการจัดการส่วนนี้เพิ่มขึ้นได้
นอกจากนี้ การกระจายการลงทุนที่มากเกินไป อาจทำให้พอร์ตการลงทุนของนักลงทุน มีการลงทุนในสินทรัพย์ที่คล้าย ๆ กันโดยไม่รู้ตัว หรือที่ทางคณิตศาสตร์เรียกว่า มี Correlation กัน ซึ่งในกรณีนี้ กลยุทธ์การกระจายการลงทุน ก็อาจไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงลงตามที่เราตั้งใจ
5
อ่านมาถึงตรงนี้ เราน่าจะพอเข้าใจ เรื่องของการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนไปบ้างพอสมควร
1
ซึ่งแน่นอนว่า การกระจายความเสี่ยงก็ยังมีความจำเป็น และมีประโยชน์ โดยเฉพาะกับนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุน และผู้ที่ต้องการรักษาเงินต้นให้ปลอดภัยมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม มันก็อาจทำให้เสียโอกาสในการได้รับผลตอบแทนในระดับสูง และเพิ่มภาระในการติดตามการลงทุนที่มากขึ้น นั่นเอง..
2
References
โฆษณา