หรือ ‘แมลง’ คือทางเลือกใหม่ เป็นอาหารแห่งอนาคต ในยุคที่แหล่งโปรตีนอื่นๆ มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ
พอได้ยินคำว่า ‘อาหารแห่งอนาคต’ ทุกคนนึกถึงอะไร ? หลายคนอาจจะมีคำตอบว่า เนื้อสัตว์จากห้องแลปบ้าง แคปซูลอาหารบ้าง ซึ่งก็อาจจะมีจริงๆ ในอนาคต แต่สิ่งที่เราจะพูดถึงไม่ใช่นวัตกรรมที่แปลกใหม่อะไรขนาดนั้น วันนี้เราจะมานำเสนออาหารอนาคตที่เรียกว่า ‘แมลง’
ใช่เลย แมลงตัวนั้น ตัวนี้ มีเยอะมากมาย เมื่อหลายพันปีที่แล้ว แมลงอาจถูกมองว่าเป็นอาหารที่เก่าแก่ของคนป่า แต่ตอนนี้มันกำลังจะกลายเป็นอาหารแห่งอนาคต เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี อีกทั้งยังมีไขมัน โปรตีน วิตามิน ไฟเบอร์ และแร่ธาตุสูง เป็นทางเลือกใหม่ที่องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (UN Food and Agriculture Organisation) ถึงกับพยายามส่งเสริมให้คนหันมากินแมลงมากขึ้นเลย
แล้วทำไมต้องหันมาหาทางเลือกใหม่เหล่านี้ล่ะ ?
ต้องบอกก่อนว่าในอนาคต ปี 2050 UN เผยว่า ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 9.7 พันล้านคน และถึงจุดพีคสุด 11 พันล้านคนประมาณปี 2100 ดังนั้นด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น การผลิตอาหารมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของมนุษย์เลยต้องมีมากขึ้นตามไปด้วย
แต่การผลิตเพิ่มนี้อาจจะทำได้ไม่ง่าย เพราะการผลิตอาหารเพิ่ม แปลว่าต้องมีการทำการเกษตร การปศุสัตว์เพิ่ม ต้องมีการใช้พื้นดินมากขึ้น ใช้น้ำมากขึ้น และใช้พลังงานมากขึ้น ซึ่งแน่นอน เราอาจมีทุกอย่างกันไม่พอ เพราะในปัจจุบันเราก็ใช้ทรัพยากรในธรรมชาติ ใช้น้ำ ใช้ที่ดินกันมากอยู่แล้ว และยิ่งเรากำลังเผชิญกับปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง หลายพื้นก็เริ่มไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก ต้องเผชิญกับปัญหาภัยแล้ง ไฟป่า น้ำท่วม และอากาศที่แปรปรวนผิดฤดูมากขึ้น อาจนำไปสู่วิกฤตการขาดแคลนอาหารได้ นี่แหละเลยเป็นเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำไมต้องหานวัตกรรมใหม่ทดแทนการผลิตเดิมมากขึ้น
แมลงเลยเข้ามาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก เพราะการทำฟาร์มแมลงใช้พื้นที่น้อยกว่าการทำฟาร์มปศุสัตว์ทั่วไปมาก ไม่ต้องเคลียร์ที่ดินเพื่อเพิ่มผลผลิตหรือเพาะปลูกอาหารให้แมลงเหมือนสัตว์ชนิดอื่น และแมลงก็ยังกินอาหารน้อยกว่าวัว 12 เท่า น้อยกว่าแกะ 4 เท่า และน้อยกว่าหมูกับไก่กว่าครึ่ง
ในเรื่องของน้ำ แมลง 1 กิโลกรัมก็ใช้น้ำ 1 แกลลอน น้อยกว่าวัว หมู ไก่ ในปริมาณ 1 กิโลกรัมเท่ากรัม โดยสัตว์เหล่านี้ใช้น้ำ 2,500 แกลลอน, 800 แกลลอน และ 567 แกลลอนตามลำดับ
ในเรื่องของก๊าซเรือนกระจก แมลงปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าปศุสัตว์ส่วนใหญ่ ปล่อยแก๊สมีเทนน้อยกว่า 80 เท่า ซึ่งมีเทน คือก๊าซเรือนกระจกอีกชนิดหนึ่งที่มีความร้ายแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หลายสิบเท่า เนื่องจากมันมีประสิทธิภาพในการดักจับความร้อนมากกว่า อย่างไรก็ตาม อายุไขของก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศนั้นอยู่ที่ 12 ปี ในขณะที่คาร์บอนไดออกไซด์อาจอยู่ได้นับร้อยปี
ปัจจุบัน มีแมลงกว่า 1,900 ชนิด ที่สามารถรับประทานได้ ส่วนใหญ่มีมาในรูปแบบทอดแบบที่พี่น้องชาวไทยกินกัน แต่ตอนนี้นวัตกรรมก้าวไกล ก็มีในรูปแบบของผงที่เอามาทำเป็นแป้ง (แบบสกัด ไม่ได้เอาแมลงไปปั่น) เป็นส่วนประกอบของอาหารต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นเส้นพาสต้า ขนม เบเกอรี่ Energy Bar เครื่องดื่ม และอีกหลายเมนู แม้กระทั่งไปเมนูสำหรับสัตว์เลี้ยงก็ได้ด้วยนะ ซึ่งในแง่ของคุณค่าทางโภชนาการ ผงแมลง 100 กรัม จะให้โปรตีนได้สูง 50-60% ในขณะที่เนื้อสัตว์อื่นๆ ให้โปรตีนที่ 30-40%
ซึ่งไทยเราถือว่าเป็นผู้ส่งออกผงแมลงอีกรายเลยก็ว่าได้ จิ้งหรีดของเราเป็นที่ต้องการจากทั่วโลก ล่าสุด เม็กซิโกอนุญาตนำเข้า ผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดจากฟาร์มไทยแล้ว ก่อนหน้านี้ สหภาพยุโรปก็ได้เพิ่มประเทศไทย เข้าสู่รายชื่อที่สามารถส่งออกแมลงเพื่อบริโภคโดยมนุษย์ เข้าสหภาพฯ ได้ด้วย แต่จะส่งออกได้ การผลิตต้องผ่านมาตรฐานรับรองจากหน่วยงานต่างๆ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ และได้รับการรับรองในระดับสากลนะ
พูดเลยว่า เขียนเองยังหิวเองเลย ในหัวคือจินตนาการถึงแมลงทอด น้ำปลา พริกไทยแล้ว ทั้งนี้ นี่เป็นแค่ทางเลือกนะ ทุกคนสามารถร่วมกินแบบรับผิดชอบต่อโลกได้ง่าย ๆ เลย คือ “กินอาหารให้หมด” ให้คุ้มค่ากับการผลิต ไม่เหลือขยะอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทไหน เนื่องจากขยะจากอาหารสามารถปล่อยก๊าซมีเทน ที่มีความรุนแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 20 เท่า และการหันมากินอาหารทางเลือกก็อาจจะไม่ได้ช่วยแก้ราคาหมู ไก่ หรืออื่น ๆ ที่ขึ้นตามมาได้ อันนี้เราขอเป็นกำลังใจให้เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องทุกคนให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้ หวังว่าจะมีมาตรการเข้ามาช่วยเหลือพี่ ๆ น้อง ๆ กันนะ
ก่อนจากไปเราขอฝากอีกหนึ่งคลิปที่เราได้ไปดูงานของอาหารแห่งอนาคตนี้กัน บอกเลยว่ามันล้ำมาก แมลงมันไปไกลกว่าแมลงทอดแล้ว ต้องเข้าไปดูค่า
ที่มา:
- 101
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
