Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
The Stock Invest
•
ติดตาม
4 ก.พ. 2022 เวลา 13:39 • หุ้น & เศรษฐกิจ
จะเลือกหุ้นทั้งที ต้องรู้อัตราส่วนทางการเงิน By เด็กขาดหุ้น
อัตราส่วนทางการเงิน คือ การนำตัวเลขจากงบการเงินมาหาอัตราส่วนต่างๆ เพื่อให้ได้ตัวเลขที่สามารถนำมาใช้วิเคราะห์สุขภาพทางการเงินของกิจการ ซึ่งอาจจะนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลในอดีตของกิจการ ข้อมูลของคู่แข่ง หรือข้อมูลของทั้งอุตสาหกรรม
เรามาดูกันเลยน่ะครับ ว่าอัตราส่วนการเงินใดที่นักลงทุนใช้วิเคราะห์หุ้น ก่อนที่จะซื้อ
1. P/E (Price to Earning)
เป็นการเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับกำไรสุทธิต่อหุ้น เป็นการวัดความถูกแพงของหุ้นตัวนั้นเทียบกับกำไรสุทธิต่อหุ้นที่เราได้กลับคืนมาจากการลงทุนในหุ้นตัวนั้น หรือเป็นจุดวัดการคืนเงินที่ลงทุนไป เช่น ซื้อหุ้นในราคา 10 บาท และบริษัทนี้ทำกำไรสุทธิต่อหุ้น ได้ 1 บาทต่อปี ก็นำราคาหุ้น หรือ P (Price) ที่ราคา 10 บาท มาหารด้วย กำไรสุทธิต่อหุ้น หรือ E (Earning) 1 บาท ก็จะได้ค่า P/E ที่ 10 เท่า แสดงว่าถ้าคุณซื้อหุ้นตัวนี้ที่ราคา 10 บาท ถ้าหากบริษัทนี้ทำกำไรสุทธิต่อหุ้น 1 บาท ได้ทุกปี แสดงว่าหุ้นตัวนี้ก็จะคืนทุนภายใน 10 ปี แต่กำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัทก็ไม่ได้เท่ากันทุกปี ค่า P/E ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ
แต่ว่า หากกำไรสุทธิต่อหุ้นเพิ่มขึ้นแต่ราคาเท่าเดิมหรือลดลง ทำให้ค่า P/E ก็ลดลง แสดงว่าเงินที่ลงทุนไปก็จะคืนทุนกลับได้เร็ว แต่หากกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่าเดิมหรือลดลงแต่ราคากลับเพิ่มสูงขึ้นแสดงว่า ค่า P/E สูงขึ้นทำให้คืนทุนได้ช้า
ดังนั้นการเลือกหุ้นต้องเลือกที่ค่า P/E ที่ต่ำ ยอมรับได้ก็คือ 10-15 เท่า และต้องเทียบกับ P/E อุตสาหกรรมด้วย
2. P/Bv (Price to Book Value)
เป็นอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นของกิจการ
เป็นการวัดความถูกแพงราคาที่เราซื้อเทียบกับราคาของเจ้าของได้ เช่น หุ้นราคา P (Price) 5 บาท มูลค่าบัญชีต่อหุ้น B (BooK Value) 1.5 บาท ก็นำ ราคาหุ้น หารด้วย มูลค่าทางบัญชี ก็แสดงว่า หุ้นตัวนี้มีค่า P/BV = 3.33 เท่า แสดงว่าคุณซื้อหุ้นแพงกว่าเจ้าของไป 3.33 เท่า นั้นเอง ดังนั้นควรเลือกหุ้นที่ P/BV ต่ำกว่า 1 ยิ่งดี แต่สามารถมากกว่าและยอมรับได้ 1.5- 2 เท่า การวัดด้วยค่าความถูกแพงด้วย P/BV สามารถวัดในภาวะเศรษฐกิจไม่ดี เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ บริษัทไม่สามารถทำกำไรได้ โดยสามารถดูค่าตัวนี้ได้
3. ROE (Return on Equity)
อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรจากส่วนของเจ้าของ หาก ROE มีค่ามาก ก็แสดงว่าบริษัทนั้นสร้างกำไรสุทธิได้ดี ผู้ถือหุ้นก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนในระดับที่สูงตามไปด้วย
เป็นค่าที่วัดความสามารถในการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้มากน้อยเพียงใด
ROE ต้องมากกว่า 15 % ขึ้นไป
4.ROA ( Return on Asset )
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่กิจการนั้นใช้ในการดำเนินงาน ยิ่งมีค่ามาก ยิ่งแสดงว่าบริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างกำไรจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันได้สูง
ROA ต้องมากกว่า 15 %
5. Net Profit Margin
อัตราส่วนกำไรสุทธิ เป็นอัตราส่วนที่ใช้วัดความสามารถในการทำกำไรของบริษัทหลังจากนำรายได้และค่าใช้จ่ายทุกประเภทมาพิจารณาแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของบริษัทในการควบคุมต้นทุน และค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อให้เกิดกำไรสุทธิ ดังนั้น ค่า Net Profit Margin ยิ่งสูงก็ยิ่งเป็นผลดี
6. D/E อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น คืออัตราส่วนทางการเงินระหว่าง หนี้สินทั้งหมดกับส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity) บริษัทเป็นหนี้มากก็ไม่ดี ดังเลือกหุ้นก็ต้องบริษัทที่มีหนี้น้อย ทำให้ต้องเลือกหุ้นที่มีค่า D/E ต่ำๆไว้ก่อน แต่ D/E สูงก็อาจจะไม่แย่ ถ้าบริษัทนั้นมีหนี้สินสูง แต่ถ้าบริษัทนั้นกู้เงินมาเพื่อลงทุน กำลังขยายกิจการ แล้วถ้าทำกำไรได้สูง ก็คือเรื่องดี ดีกว่าไม่กู้แล้วไม่มีกำไรเลย (ค่า D/E ไม่สามารถนำไปวิเคราะห์หุ้นกลุ่มการเงินและสินเชื่อได้)
สรุปค่าอัตราส่วนการเงินของหุ้นที่ควรเลือกเข้าพอร์ต
นี้คืออัตราส่วนการเงินพื้นฐานที่ต้องควรรู้ในการเลือกซื้อหุ้น ควรศึกษาหุ้นนั้นให้ละเอียดก่อนซื้อนะครับ
ฝากติดตามเพจ เด็กขาดหุ้น กดไลท์ กดแชร์ ด้วยนะครับ เพื่อไม่พลาดความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น
1 บันทึก
2
1
1
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย