19 ม.ค. 2022 เวลา 14:02 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
รีวิว The Last Duel (2021)
ดูได้ทาง Disney+Hotstar
  • เกริ่นนำ
สร้างมาจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในยุคราวๆ ค.ศ. 1380 เรื่องราวของ ฌอง เดอ คาร์รูจ์ส และ ฌาคส์ เลอ กริส ชายสองคนที่เป็นเพื่อนกัน จนเมื่อวันหนึ่ง ฌอง ไปออกรบ และเมื่อเขากลับมา ภรรยาของเขา มาร์การีต มาบอกกับเขาว่าเธอถูกเพื่อนของเขา ฌาค เลอกรี บุกเข้ามาข่มขืนเธอ จนนำไปสู่การที่ ฌอง ตัดสินใจไปฟ้องร้องเรื่องนี้ต่อกษัตริย์ แต่เนื่องจากหาบทสรุปไม่ได้ จึงต้องทำการประลองกันเพื่อให้พระเจ้าตัดสิน
ก่อนอื่นขอบอกก่อนเลยว่า เรื่องนี้เป็นหนังประวัติศาสตร์แบบจริงๆ ให้เราได้เห็นทั้งแนวคิด ความเชื่อ การเมือง ศาสนา ของคนในยุคนั้น ซึ่งถ้าพูดกันตามตรง การประลองกันจนตัวตาย ถ้ามาทำให้ยุคสมัยนี้คงจะเป็นเรื่องที่โคตรไร้สาระ แต่ในยุคสมัยนั้น มันไม่ใช่แบบนั้น เหตุการณ์ในหนังมันเป็นช่วง ค.ศ. 1380 - 1386 ราวๆนั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในยุคกลาง ยุคสมัยที่ศาสนา และความเชื่อมีอิทธิพลต่อมนุษย์มากที่สุด จึงไม่แปลกเลยว่าทำไมเมื่อหาข้อสรุปไม่ได้ จึงเลือกที่จะประลองกันเพื่อให้พระเจ้าตัดสิน
  • รีวิว
เอาละเริ่มรีวิวแบบสั้นๆแล้วกัน หนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แม้จะช้าๆเนือยๆไปหน่อย แต่ไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น และทุกอย่างมันค่อนข้างสมจริงสมจังมากๆ นักแสดงนำในเรื่องก็ทำกันได้ดีทุกคนจริงๆ ทั้ง Adam Driver ,Matt Damon ,Ben Affleck และนางเอกอย่าง Jodie Comer ที่บอกเลยว่าตอนนี้เธอกำลังมาแรงมากๆ มีผลงานเพียบ คือเรื่องการแสดงไม่มีอะไรน่าห่วงเลย ทำได้ดีกันทุกคนจริงๆ ส่วนงานโปรดักชั่นก็ทำออกมาได้ดี การตัดต่อต่างๆ และผมชอบการเล่าเรื่องแบบแบ่งเหตุการณ์เป็น 3 คำบอกเล่าของ 3 ตัวละครหลัก เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ และทำให้คนดูจดจ่ออยู่กับหนังได้จนจบ โดยภาพรวมก็คือดีมากๆ สำหรับหนังแนวนี้ ใครที่ชอบหนังแนวประวัติศาสตร์บอกเลยว่าห้ามพลาดจริงๆ
ผมจะมาพูดถึงรายละเอียดต่างๆในหนังที่ผมค่อนข้างประทับใจ ผมชอบการที่นำเสนอมุมมองของตัวละครแต่ละตัว อย่างเช่น ฌอง เดอ คาร์รูจ์ส หนังก็จะบอกมาเลยว่าเป็นอัศวินที่มีฝีมือและมีชื่อเสียงมากๆในฝรั่งเศส เป็นทหารที่ภักดีต่อองค์ราชามาก และเป็นคนอีโก้จัด หัวแข็ง ขวางโลก ไม่เกรงใจใคร ด้วยความที่เป็นคนเก่งด้วยแหละมั้ง เลยไม่ค่อยจะให้เกียรติคนอื่นเท่าไหร่ ต่อมาก็ ฌาคส์ เลอ กริส เป็นสไควร์ ก็คือ อัศวินฝึกหัด ต่างจาก ฌอง ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินแล้ว
โดยตัว ฌาคส์ เลอ กริส เนี่ยเป็นคนฉลาดหน้าตาดี เจ้าชู้ และเป็นลูกน้องของคนมีอำนาจ จึงอยู่ได้อย่างสบาย ทำอะไรเจ้านายก็ช่วยเสมอ ก็คือลักษณะนิสัยก็จะเป็นคนที่เจ้าเล่ห์หน่อย พูดจากลับกรอก โน้มน้าวคนเก่ง แต่สิ่งนึงที่ตัวละครทุกตัวในเรื่องมีเหมือนกันคือ ความเชื่อ และตรรกะต่างๆ ซึ่งไม่แปลก มันตามยุคสมัยของมัน ยุคนั้นชายเป็นใหญ่มากๆ แต่ไอตัว มาร์การีต ที่ถูกข่มขืนเนี่ย เป็นผู้หญิงที่แปลกไปจากผู้หญิงคนอื่นๆในยุคนั้น เพราะเธอเลือกที่จะฟ้องร้อง และประกาศความจริงกับทุกคน เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ
แต่ที่มันกดดันมากขึ้น เพราะเธอไม่ได้คิดว่าการที่เธอและสามีไปฟ้องร้องต่อกษัตริย์ มันจะจบด้วยการให้ประลองกันจนตัวตาย และถ้าหากสามีเธอแพ้ เธอก็ต้องถูกฆ่าไปด้วย และหนังมันใส่ฉากที่มาร์การีต คุยกับแม่ยายของตัวเอง ซึ่งแม่ยายบอกว่า เธอก็เคยโดนข่มขืนสมัยสาวๆ เธอก็อยากที่จะทำแบบมาร์การีตนะ อยากไปบอกสามีและเรียกร้องความเป็นธรรม แต่เธอเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้ และยืนหยัดกลับมาใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเอง จากนั้นมาร์การีตก็ถามว่า การเลือกแบบนั้นมันได้อะไร แม่ยายตอบกลับมาว่า เธอยังมีชีวิตอยู่ยังไงละ คือฉากนี้มันสะท้อนให้เห็นชัดมากๆ ว่าผู้หญิงในยุคนั้นไม่มีปากมีเสียงอะไรด้วยซ้ำ ทั้งที่ถูกกระทำแต่ก็ต้องเก็บไว้ เพราะการพูดออกไปมันทำให้ชีวิตตัวเองอยู่ในอันตราย ผมเลยชอบที่หนังมันเก็บรายละเอียดเหล่านี้ได้อย่างดี
สรุปหลังจากดูตั้งแต่ต้นจนจบ หนังก็ไม่ได้บอกอะไรเราไปหมดทุกเรื่อง เราต้องไปคิดกันต่อเอง เพราะตอนจบ ก่อนที่ ฌาคส์ เลอ กริส จะตาย เขาก็ไม่ได้สารภาพออกมาว่าเป็นคนทำ ซึ่งในหนังมันเล่าให้เห็นว่า ฌาคส์ เลอ กริส ทำจริงๆ แต่อย่าลืม ว่ามันก็แค่คำบอกเล่า ไม่มีหลักฐาน มันทำให้เราคิดไปได้ต่างๆนาๆ ว่ามันยังไงกันแน่ มันออกได้หลายทาง ก็ไปสรุปและตัดสินในแบบของตัวเองแล้วกันครับ
สุดท้ายนี้ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วชอบ ฝากกดไลค์ กดแชร์ และกดติดตามด้วยนะครับ ผมเขียนไปตามความรู้สึก ผิดพลาดประการใด ของอภัยไว้ ณ ที่นี้
ติดตามแฟนเพจ ละเลงหนัง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา