20 ม.ค. 2022 เวลา 04:28 • ความคิดเห็น
Seqptember is comback for myself
กลับมาเขียนบทความอีกครั้งหลังจากหายไปสักพักใหญ่ ๆ เรียกได้ว่านานมากจริง ๆ เราพยายามจะเขียนนะคะ เขียนในสิ่งที่อยากจะเขียน แต่ไม่รู้ทำไมถึงเขียนไม่ออก เขียนไม่ได้ เขียนได้แค่บทนำก็เขียนต่อไม่ได้แล้ว อาจเป็นเพราะว่าช่วงนั้น ไม่ค่อยมีแรงบันดาลใจเท่าไรหรือเปล่า
เราเคยอยากจะทำเพจที่ได้เขียนเรื่องราวที่เราอยากจะเขียน แล้วมีคนอ่าน มีคนมาร่วมแสดงความคิดเห็นกัน ก็เลยเริ่มสร้างเพจนี้ขึ้นมา แล้วปรากฎว่า ผลตอบรับก็อยู่ในขั้นที่พอใจมากสำหรับนักเขียนที่อาจไม่ได้มีกลวิธีการเขียนที่ดึงดูดใจขนาดนั้น แต่ก็มีคนอ่าน มีคนมาแสดงความคิดเห็น บทความที่ผ่านมาเรารู้สึกดีใจมาก ๆ ที่มีคนให้ความสนใจและติดตามเรา และบอกเราว่าติดตามบทความต่อไปอยู่นะ มันเติมเต็มความรู้สึกได้อย่างดีมาก ๆ เลยค่ะ
ใด ๆ ก็ตาม เราอาจจะเขียนเหมือนในเชิงจะกล่าวอำลาสำหรับผู้ติดตามเพจของเรา แต่ไม่ใช่เลยค่ะ เราแค่อยากจะเกริ่นนำไว้หลังจากหายไปนานว่าหลังจากนี้เราอยากจะใส่ใจเพจตัวเองให้มากกว่านี้ บางทีมันก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราชอบทำที่เวลาได้แรงกระตุ้นหรือแรงบันดาลใจแล้วอยากจะเขียนออกมาให้ตัวเองได้อ่าน และผู้ติดตามเพจได้อ่าน แล้ววันนี้ก็เป็นวันที่เพิ่งผ่านปีใหม่มาไม่นาน (และเดือนมกราคมยาวนานมากจริง ๆ) มันเลยเหมือนได้กลั่นกรองหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตในปีก่อน ๆ เลยเกิดเป็นบทความนี้ขึ้นมา
ประเด็นหลักของบทความนี้คือเราอยากจะเขียนเกี่ยวกับการเรียนจบของเรา เนื่องในโอกาสเพิ่งเรียนจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย และสิ่งที่พบเจอหลังจากนั้นตลอดระยะเวลาประมาณ 8 เดือนหลังจากเรียนจบ
จะเริ่มต้นยังไงดี หลาย ๆ คนอาจจะอยากเรียนจบ ทำงาน หาเงิน ใช้เงิน ไปเที่ยว เป็นต้น แต่เราเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยอยากจะเรียนจบเลย เพราะเราชอบชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัย ชอบสังคมเพื่อนมหาลัยที่ร่วมฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นานาไปด้วยกัน และเรายังชอบไปนั่งทำงาน อ่านหนังสือ ในหอสมุดกับเพื่อน (ที่เราไม่รู้จัก) หลาย ๆ คน เพราะมันเหมือนได้ฟีลว่าเรากำลังเหน็ดเหนื่อย ตั้งใจอ่านหนังสือไปกับทุกคนที่พวกเขาก็กำลังทุ่มเทไปกับเรานะ แต่หลังจากเรียนจบออกมา เราไม่ค่อยแน่ใจเลยว่าจะไปทางไหนต่อดี?
เราค่อนข้างกังวลกับอนาคตเยอะค่ะ หลายคนแนะนำให้สอบเข้าข้าราชการ แต่เท่าที่เรารู้มา ระบบราชการบ้านเราก็อาจจะไม่ค่อยก้าวไปข้างหน้าตามสังคมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปในระดับหนึ่ง บางทีเราอาจอยากเข้าไปเปลี่ยนแปลงบางระบบให้มันก้าวหน้ามากขึ้น แต่เราก็เป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ เราเลยคิดว่าเราอาจจะทำงานตรงนั้นยาก (หรือเปล่า) ในบริษัทด้านเอกชน เราก็พยายามค้นหาความเป็นตัวตนของตัวเองอยู่โดยการลองทำงานที่ไม่เคยทำ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ มาก คิดว่าในปีนี้จะพยายามทำหลาย ๆ อย่างให้มากขึ้น จะได้รู้ว่าสุดท้ายแล้วเราชอบทำอะไรกันแน่ แต่อย่างที่บอกไป เราค่อนข้างกังวลกับอนาคตค่ะ เวลาจะทำในสิ่งที่ชอบ หรือจะทำงานใดสักงาน ก็จะต้องกังวลว่าแล้วถ้าทำสิ่งนั้นเป็นแล้ว ทำได้ดีแล้ว แล้วสิ่งนั้นจะพาเราไปสู่อะไรต่อ อย่างไรก็ตาม การลงมือทำก็คงดีกว่าการไม่ทำอะไรอยู่แล้ว
แต่บางที บางครั้ง อาจจะหลายครั้ง เราจะกังวลกับการบริหารงานในประเทศประมาณหนึ่ง เพราะตอนนี้ค่าครองชีพสูงขึ้น แต่ค่าแรงกลับสวนทาง บางทีเรารู้สึกว่าทำไมนะ ทำไมประเทศไม่ค่อยให้ค่ากับคนที่เขาทุ่มเททำงานหนักเลยนะ ตลอดหนึ่งเดือนของการทำงานมันเหนื่อยมากนะ ทำไมค่าแรงที่เขาได้รับ เขายังต้องใช้แบบประหยัดสุด ๆ เลย จริง ๆ ที่ไม่อยากเรียนจบ เพราะไม่อยากออกมาพบเจอกับความเป็นจริงแบบนี้ด้วย เราก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินขนาดนั้น แต่เราคิดว่าเราเห็นใจคนอื่นที่เขาพยายามทั้งเพื่อตนเองและเพื่อคนที่เขาต้องดูแล แต่สิ่งที่เขาได้กลับมาไม่ค่อยคุ้มค่าเลย ยิ่งไปกว่านั้น นี่กลับเป็นสิ่งที่เราทำอะไรไม่ได้ด้วย คนที่ทำได้ ก็ไม่รู้ว่าเขาพยายามในแบบที่เขาแสดงออกมาจริง ๆ หรือเปล่านะ เราคิดว่าเราค่อนข้างพยายามเข้าใจทุกฝ่ายนะคะ แต่อย่างที่หลายคนน่าจะเห็นกันอยู่มาอย่างยาวนานว่ามันเป็นอย่างไร มันเกิดอะไรขึ้นบ้างในประเทศของเรา
ถ้าได้อ่านบทความนี้มาจนถึงตอนนี้ คุณผู้อ่านอาจจะมองเห็นความกังวลกับอนาคต ความจบใหม่ที่ไม่รู้จะเอายังไงต่อดีกับชีวิต จริง ๆ นี่ถือเป็นสิ่งที่วนเวียนในความคิดของเราบ่อย ๆ ค่ะกับประโยคที่ว่า ไม่รู้จะเอายังไงต่อกับชีวิต เราเป็นคนชอบวางแผนนะ การเรียนตั้งแต่ประถมจนจบมหาวิทยาลัย เราก็แพลนและมีเหตุผลไว้แล้วว่าทำไมต้องเป็นคณะ สาขานี้ แต่ใด ๆ ก็ตาม เราก็ยังไม่ค่อยมองเห็นอะไรชัดเจนเท่าไร อาจต้องใช้เวลาสักพักหรือใช้ความทุ่มเท จริงจัง พยายาม ที่มากกว่านี้ เผื่อว่าสิ่งที่เราเคยทำมาจะมองเห็นอะไรชัดขึ้น แต่เราเป็นคนที่พยายามเข้าใจความเป็นไปของชีวิตว่าอาจเป็นเรื่องปกติที่เราจะมองไม่เห็นทางข้างหน้าบ้าง ถ้าก้าวต่อไป พยายามต่อไป ยังไงแล้วเราก็จะพบเจอสิ่งที่ใช่สำหรับเรา ต้องมีวันของเราบ้างแหละ
แต่ถามว่าทำไมอยู่ ๆ มีประเด็นเรื่องประเทศเข้ามา ก็เพราะว่าเราคิดว่าประเด็นนี้ค่อนข้างกำจัดความพยายามของเราในระดับหนึ่ง รวมถึงคนอื่นอีกมากมายหลายคนด้วยที่ต้องเหมือนถูกยืดเวลาในการที่จะประสบความสำเร็จเพราะความไม่พัฒนาของประเทศ ถ้าเทียบกับช่วงอายุของคนเรา มันค่อนข้างกินระยะเวลาของอายุยาวนานนะกับการที่ประเทศไม่พัฒนา เหมือนถูกหยุดความก้าวหน้า แต่ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป เคยอ่านเจอมาว่า ถ้าสังเกตข่าวในทุกวันนี้ จะไม่ค่อยมีข่าวแนวสร้างสรรค์เลย เช่น ข่าวแนวเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ ศิลปะ ดนตรี เมื่อก่อนต่อให้เราไม่ได้ติดตามโดยตรง เราก็ยังได้บังเอิญพบเจออยู่บ้าง แต่ตอนนี้ค่อนข้างจะหายากเลย แต่เรายังรู้สึกดีที่มีแพลตฟอร์ม เพจ ช่องทางต่าง ๆ ที่พยายามผลิตคอนเทนต์แนวให้ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ แต่จะพูดอย่างไรดี (เหมือนเราต้องพยายามผลักดันไปข้างหน้าแบบช่วยเหลือกันเองแบบไม่มีผู้ใดมาคอย support เลย)
มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว บทความนี้อาจดูไม่ค่อยมีแก่นหลักเท่าไร เหมือนเป็นการมาพูดถึงความรู้สึกของเราเท่านั้น จะมองแบบนั้นก็ได้เช่นกัน เพราะเราเขียนบทความนี้แบบรวดเดียวจบ เขียนจากความรู้สึกที่กำลังพยายามก้าวไปข้างหน้า แต่ก็เหนื่อยใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศ เพราะต่อให้เราจะสามารถไปอยู่ต่างประเทศได้จริง ๆ เราก็ไม่อยากปล่อยให้คนที่อยู่ในประเทศต้องเผชิญกับอะไรก็ไม่รู้ที่บางครั้งก็เกินจะรับไหว
ขอบคุณคุณผู้อ่านทุกท่านที่อ่านมาจนจบบทความนะคะ สวัสดีเนื่องในโอกาสเดือนมกราคมที่แสนยาวนาน กับ... ที่เมื่อไรจะเห็นผลงานจริง ๆ สักทีค่ะ
โฆษณา