Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
God Journey (การเดินทางของเหล่าพระเจ้า)
•
ติดตาม
20 ม.ค. 2022 เวลา 03:13 • หนังสือ
✴️ บทที่ 1️⃣5️⃣ เข้าใจศาสนา เข้าใจพระเจ้า ✴️ (ตอนที่ 2)
มีเรื่องตลกเรื่องหนึ่งที่คนชอบเอามาเล่าสู่กันฟังเสมอ ๆ เป็นเรื่องของชายคนหนึ่งที่ธรรมะธัมโม ศรัทธาในพระเจ้าอย่างแรงกล้ามาก แล้วก็ต้องมี ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายเพราะแกไปเจอน้ำท่วมเข้า กระแสน้ำเชี่ยวท่วมสูงขึ้นเร็วมาก เลยจำใจลี้ภัยไปอยู่บนหลังคาบ้าน แต่กระนั้นน้ำก็ยังคงท่วมสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ในที่สุดเรือตำรวจก็มาช่วยรับตัวแกจากหลังคาจนได้ “มาลงเรือเถอะลุง” ตำรวจร้องตะโกนบอกแก
“ไม่ไปหรอก” แกบอกไป “ฉันอุทิศทั้งชีวิตเป็นคนใจบุญสุนทาน ทำแต่บุญ ไหว้พระไหว้เจ้ามาตลอดชีวิต พระเจ้าจะคุ้มครองฉันแน่พ่อคุณ”
“อย่าโง่เลยน่าลุง” ตำรวจขานตอบ “มาลงเรือเข้าเถอะ น้ำยังท่วมเอาๆอย่างนี้นะ เดี๋ยวลุงเป็นอันตรายไปนะ❗”
ชายผู้นั้นก็ยังยืนกรานไม่ลง เรือก็เลยต้องจากไป
น้ำยังท่วมสูงขึ้นเรื่อยๆตามคำบอกจริงๆ เรือช่วยชีวิตก็อุตส่าห์วนกลับมารับอีกถึง 𝟮 รอบ ชายธรรมะธัมโมก็ปฏิเสธไม่ยอมลงไปอีก 𝟮 รอบเหมือนกัน
“พระเจ้าจะคุ้มลุงเอง” แกยืนกระต่ายขาเดียวด้วยความมั่นใจเต็มร้อย เรือก็เลยทิ้งแกไปช่วยคนอื่นต่อไป
ไม่ช้านานน้ำก็ท่วมมิดบ้านทั้งหลังจนถึงหลังคา ชายแก่ธรรมะธัมโมคนนั้นจมน้ำตาย
แกตายไปขึ้นสวรรค์ไปเผชิญหน้ากับพระเจ้า โกรธแค้นเจ็บใจที่พระเจ้าไม่เห็นมาช่วยชีวิตแกเลย ชายคนนั้นฟ้องเสียงดังลั่น
“ลูกช้างนะไหว้พระทำบุญมาชั่วชีวิต เคารพเชื่อฟังศีลของท่านทุกข้ออย่างดีเชียว บริจาคเงินให้งานบุญงานกุศลทีละตั้งมากๆ แค่หนนี้หนเดียวที่ลูกช้างกราบขอให้ท่านช่วย ท่านกลับทิ้งลูกช้างให้ตาย❗”
พระเจ้าทรงอธิบาย “ก็เราส่งเรือไปช่วยตั้ง 𝟯 ครั้งแล้วนี่ ทำไมไม่ขึ้นมาสักลำละลูก❓”
. . .
กี่ร้อยกี่พันปีที่ผ่าน ผ่านกาลเวลาตั้งกี่ศตวรรษจนถึงกี่สหัสวรรษแล้วหนอ ที่พระเจ้ากับศาสนาโดนเข้าใจผิด บิดเบือนความจริง และโดนมนุษยชาติใช้ เป็นเครื่องมือสนองตัณหาตัวเอง นามของพระเจ้าซึ่งจะต้องเป็นสัญลักษณ์แทนความสันติสุข ความรักและความเมตตา กลับถูกเอาไปใช้ปลุกระดมในการก่อสงคราม การเข่นฆ่าทำลายล้างนับครั้งไม่ถ้วน
แม้กระทั่งทุกวันนี้ ยุคศตวรรษที่ 𝟮𝟭 กันแล้ว คำว่า “สงคราม ‘ศักดิ์สิทธิ์’ ” ยังแพร่ระบาดไปทั่วโลกของเราราวกับโรคร้ายไม่ต่างอะไรจากโรคระบาดในยุคกลางเลยแม้แต่นิดเดียว★ สงครามมันจะศักดิ์สิทธิ์ไปได้อย่างไรกันครับ❓ มันเป็นการเอาคำว่าศักดิ์สิทธิ์มาใช้ในเรื่องตรงข้าม ขัดกันกับคำว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างน่าขยะแขยงชิงชังที่สุด ถือเป็นการหาเหตุผลตื้นๆมาแอบอ้างใช้กับการทำบาปหนาชนิดอนันตริยกรรมโดยแท้
★ ข้อเขียนของ ดร.ไวส์ตอนนี้ ลึกและตรงจนน่าตกใจ เพราะท่านเขียนถึงเรื่องสำคัญนี้เมื่อ 𝟭 ปีก่อนที่บินลาเดนจะประกาศสงครามศักดิ์สิทธิ์ (𝗛𝗼𝗹𝘆 𝗪𝗮𝗿) กับอเมริกา และโรคร้ายยุคกลางคือสงคราม 𝟳𝟬𝟬 ปี ที่รบกันข้ามรุ่นข้ามศตวรรษระหว่างคริสต์กับมุสลิมที่เรารู้จักกันดีว่า “สงครามครูเสด” นั่นเอง : ผู้แปล
💟 พระเจ้าคือสันติสุข พระเจ้าคือรัก พวกเราทุกรูปนามถูกสร้างมาให้เป็นตัวแทนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน เหตุนี้เอง พระเจ้าท่านจึงอยู่ข้างในหัวใจเราอยู่แล้ว และเราก็คือสิ่งมีชีวิตแห่งความสงบสันติ คือตัวแทนแห่งความรักและความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งของพระองค์ท่าน
💟 ดังนั้นศาสนาจึงมีเพียงหนึ่งศาสนาด้วยว่าพระเจ้าทรงมีหนึ่งเดียว นั่นคือ พระเจ้าที่อยู่ประจำใจเราทุกรูปทุกนาม มนุษย์จึงต้องรู้จักรักกันและกันให้มากๆ เนื่องเพราะรักคือหนทางที่พาเรากลับสู่บ้านแสนรัก หาไม่แล้วเราก็จะเหมือนกับเด็กนักเรียนแสนดื้อด้าน คือเหมือนโดนสาปให้ตกซ้ำชั้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าเราจะเรียนรู้บทเรียนแห่งรักได้เสียที
ขอเพียงแต่ให้เราปลดปล่อยความกลัวทิ้งไปเถิด การที่เราลืมตามองศาสนาอื่นให้เสมอภาคเท่าเทียมศาสนาเรา มองเขาให้เหมือนดั่งดวงวิญญาณที่เป็นเพื่อนร่วมทางไปสู่สวรรค์ได้นั้นจะทำให้เราเป็นคนที่หัวใจมีแต่รักอย่างแท้จริงถึงจุดที่ไม่ตั้งข้อแม้เงื่อนไขใดๆอีกต่อไป พวกเราทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นคนเหมือนกัน เรากำลังพายเรือลำเดียวกันทั้งสิ้น ด้วยการเวียนว่ายตายเกิดมากมายหลายชาติภพ พวกเราอย่างไรก็ต้องเกิดมาหมดแล้วทุกศาสนาทุกชาติเชื้อเผ่าพันธุ์ ดวงวิญญาณไม่แบ่งเชื้อชาติ ไม่แยกศาสนา ดวงวิญญาณรู้จักแต่รักและเมตตาเป็นที่ตั้งเท่านั้นครับ
เมื่อไรก็ตามที่เรารู้แล้วว่าเราท่านทุกคนล้วนเป็นคนเหมือนกันหมด ได้รู้ว่าความแตกต่างไม่เหมือนกันที่เกิดกับเรานั้นมันมีแต่เรื่องฉาบฉวย ไร้ความสำคัญทั้งนั้น และต่อให้แตกต่างกันแค่ไหนก็ไม่ใช่ เรื่องใหญ่โตอะไรเลย เมื่อนั้นแหละครับที่เราจะยื่นมือออกไปแล้วหัดช่วยเหลือคนอื่นตลอดเส้นทางชีวิตได้สำเร็จ ไม่ว่าพวกเขาจะเหมือนเราหรือต่างจากเราหรือไม่ก็ตามที
คุณลองเจาะลึกพิธีบูชาและประเพณีของแต่ละศาสนาดูสิครับ คุณจะเห็นเลยว่ามีหลายอย่างคล้ายกันมากจนน่าแปลกใจ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดความเข้าใจหรือการให้คำแนะนำ แม้แต่คำบางคำยังเหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อเลย★ เรามัวแต่เข่นฆ่ากันในนามของศาสนา ทั้งที่ลึกๆแล้วกลุ่มคนผู้จงรักต่อศาสนาต่างก็มีความเชื่อในเรื่องเดียวกันทั้งสิ้น
★ สามารถหาอ่านได้ในบทภาคผนวกของหนังสือ : ผู้แปล
ศาสนาอันยิ่งใหญ่ทุกศาสนาต่างก็เน้นความสำคัญให้เราเลือกดำเนินชีวิตสู่หนทางธรรม (𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗹𝗶𝗳𝗲) ให้ทำความเข้าใจในความศักดิ์สิทธิ์งดงามที่สถิตอยู่ในและอยู่เหนือทุกชีวิตทุกสรรพสิ่ง ให้เลือกชีวิตที่หมั่นทำแต่ความดีและช่วยเหลือผู้อื่น ชีวิตที่มีแต่ความรักและความเมตตา หมั่นเพียรสร้างบุญสร้างกุศล เต็มเปี่ยมด้วยความหวังและความศรัทธา ทุกศาสนาบอกเล่าเรื่องชีวิตหลังความตาย และเรื่องดวงวิญญาณของเราเป็นอมตะไม่มีวันสูญสลาย สอนเราให้รู้จักความกรุณาปรานี การ รู้จักให้อภัยและความสงบสุขทางใจทั้งนั้น
ทุกครั้งที่ผมพูดเรื่องศาสนา ผมจะหมายถึงภูมิปัญญาและธรรมเนียมทางธรรมที่ช่างวิเศษงดงามนัก ไม่ใช่หมายถึงประกาศิต ไม่ใช่กฎกติกาที่มนุษย์สร้างขึ้นแล้วประกาศให้เป็นศาสนาเพื่อหวังผลทางการเมือง จนไปรับใช้การแบ่งแยกคนมากกว่าจะรวมน้ำใจให้เป็นหนึ่งเดียว เราต้องหัดใส่ใจแยกแยะให้ออกแล้วละครับว่าอันไหนคือสัจจะแห่งธรรมะจริงๆ แล้วอันไหนเป็นกฎที่ถูกชักจูงด้วยการเมือง กฎประดานั้นแหละคือกำแพงที่แบ่งแยกเราออกจากกันและกักกันเราไว้ให้มัวแต่กลัวบาปกลัวกรรมสถานเดียว
ตอนนี้พวกเราเริ่มยอมรับแล้วครับว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ยอมรับแล้วว่าดวงวิญญาณนั้นเป็นอมตะไม่มีวันตาย และเราจะยังคงดำรงอยู่แม้ร่างกายจะสูญสลายไปแล้ว โดยเป็นการยอมรับเพราะมีข้อมูล ไม่ใช่ยอมรับเพราะเอาแต่ศรัทธากันอย่างเดียวอีกต่อไป
ดังนั้นทำไมเล่าพวกเราถึงชอบทำเป็นไม่รับรู้ว่าเนื้อแท้ของศาสนาประจำตัวเราเองคืออะไร ประเพณีปฏิบัติที่ร่ำรวยจิตวิญญาณแห่งธรรมนั้นดีแค่ไหน นี่ขนาดยังไม่ต้องเอ่ยถึงศาสนาอื่นของเพื่อนเราหรือเพื่อนบ้านของเราเลยนะครับ ทำไมเล่าเราถึงได้เอาแต่จับจ้องมองแต่ความผิดเพี้ยนแตกต่างอยู่ข้างเดียวทั้งที่ความคล้ายกันก็มีเยอะถึงปานนั้น ทำไมเราเพิกเฉยต่อคำสอน ศีล วินัย และข้อคิดที่เปี่ยมล้นด้วยรักเมตตา ที่บรรดาบรมครูผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายท่านอุตส่าห์สั่งสอนเราไว้อย่างดีเยี่ยมขนาดนี้❓
ผมคิดว่าเป็นเพราะเราลืมสิ่งที่เรารู้กันไปหมดอีกแล้วครับ ก็เรามัวแต่ติดอยู่กับสภาพชีวิตที่มันซ้ำซากอยู่ทุกวี่วัน เราก็เลยจมอยู่กับความกลุ้มความกังวลไปหมด มัวแต่คอยห่วงว่าสถานภาพเราจะเป็นอย่างไร ของนอกกายเราจะไปไหน ห่วงแต่ว่าคนอื่นเขาจะคิดกับเราว่าอย่างไร จนเราหลงลืมตัวตนแห่งจิตวิญญาณของตัวเองจนหมด เรากลัวตายก็เพราะเราลืมธรรมชาติที่แท้แห่งเราน่ะเอง เราคิดกลุ้มใจห่วงตำแหน่ง ห่วงหน้าตา ห่วงว่าเราจะโดนคนอื่นเขาเอาเปรียบเรื่องที่เขา “ได้” แต่เรา “เสีย” เรามัวแต่กลัวแทบตายว่าเราจะดูโง่ในสายตาคนอื่นเสียจนเราสูญเสียความกล้าที่จะเป็นคนที่เปี่ยมล้นด้วยจิตวิญญาณไปหมดสิ้น
แต่บัดนี้ วิทยาศาสตร์กับจิตวิญญาณที่เคยถูกขนานนามว่าเป็นสองสิ่งที่อยู่คนละขั้วกันสิ้นเชิงกำลังมาหลอมรวมกันแล้ว หมอและจิตแพทย์กำลังจะกลายเป็นผู้ทรงศีลแห่งโลกยุคใหม่ เรากำลังยืนยันว่าเรื่องที่ผู้ทรงศีลสมัยก่อนหยั่งรู้ได้จากญาณนั้นเป็นจริง เราทุกรูปนามคือความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งที่จริงเราก็รู้จักกันดีมาหลายพันปีแล้วแต่กลับลืม และการที่จะได้กลับบ้าน เราต้องจำทางให้ได้เสียก่อน
แต่ถ้าหากว่าพระเจ้ามีหนึ่ง ศาสนาก็ต้องมีเพียงหนึ่ง แล้วอย่างนั้นทำไมเรายังต้องนับถือศาสนาที่เราเกิดมา หรือเลือกเอาลัทธิความศรัทธาอย่างหนึ่งอยู่เหนือความศรัทธาอื่นด้วยเล่า❓
ก็เพราะว่าในท้ายที่สุดแล้ว การจะเข้าโบสถ์ไหน ไปทำบุญวัดไหนก็ไม่สำคัญหรอกครับ ในกรณีที่เราเลือกจะเข้าโบสถ์เข้าวัดจริงๆแล้วละก็ มันเหมือนกับซี่ล้อจักรยานนั่นแหละครับ ทุกวิถีที่ศาสดาอันยิ่งใหญ่ท่านได้สั่งสอนไว้ล้วนนำเราไปสู่จุดศูนย์รวมเดียวกันทั้งสิ้น คือไปสู่ความรู้แจ้ง และความเลื่อมใสศรัทธาในรสพระธรรม วิถีหนึ่งไม่ได้ดีเลวไปกว่ากันเลย ทุกเส้นทางต่างดีเท่าเทียมกันทั้งนั้น
แต่ถึงจะดีเท่ากันอย่างไรก็ตาม การได้เอิบอาบในภูมิปัญญาและสัจธรรมของศาสนามาตั้งแต่เยาว์วัยไม่ใช่แค่จะช่วยให้เราเริ่มต้นได้สวยเท่านั้น แต่เท่ากับเราได้สะสมความรู้และประสบการณ์ไว้มากมายจนทำให้เกิดความสนิทสบายใจด้วย ความรู้สึกสนิทใจนำมาซึ่งใจอันเป็นสุขสงบ จิตของเราจะผ่อนคลายจนเราสามารถเข้าสู่ภาวะจิตเป็นสมาธิได้ลึกขึ้นโดยแทบไม่ต้องพยายามเลย ความรู้สึกสนิทคุ้นเคยและสบายใจจะช่วยลดสิ่งรบกวนสมาธิแล้วปล่อยให้จิตเราสำรวมนิ่งจนถึงขั้นที่เรานั่งสมาธิสวดมนต์ภาวนาและใช้สติพิจารณาปัญหาทั้งปวงในขั้นที่ลึกลงกว่าเดิม ในสภาวะจิตลึกขนาดนี้เองครับที่เราจะเข้าถึงระดับจิตที่อยู่ในภาวะหลุดพ้น
ในทุกศาสนาที่ยิ่งใหญ่ ต่างมีสัจธรรม มีความงาม และมีภูมิปัญญาอันใหญ่ยิ่งแฝงอยู่ทั้งนั้น เราน่าจะลองศึกษาดูเสียให้หมดเลยเหมือนเป็นนักเรียนใฝ่หาวิชา ด้วยว่าความเห็นแจ้งแทงตลอดภายในที่การยกระดับมุมมองจากจิตวิญญาณสามารถมอบให้เราได้ จะช่วยเร่งพัฒนาให้จิตวิญญาณของเราก้าวหน้าเร็วขึ้นจริงๆ ไม่จำเป็นต้องไปทิ้งประเพณี ความเชื่อของตัวเองเลยครับ เราอาจจะชอบดอกกุหลาบมาก แต่คนอื่นเขาอาจจะชอบดอกลิลลี่ ดอกกล้วยไม้ ดอกไม้ป่าหรือกระทั่งดอกทานตะวันก็ได้ แต่ทุกดอกก็ล้วนแล้วแต่งดงามตามแบบฉบับของตัวเอง โดยที่พระเจ้าก็ทรงฉายแสงสว่างต้องดอกไม้ทุกดอกที่กล่าวนามจากดวงตะวันดวงเดียวกัน และให้ฝนจากฟ้าเดียวกันโปรยปรายลงหล่อเลี้ยงเสมอทั่วกัน ดอกไม้ต่างสีต่างพันธุ์แต่ช่างสุดพิเศษด้วยกันทุกดอกใบ
เพื่อถ่ายทอดคำสอนในพระธรรมวินัยทั้งหลายทั้งปวง ขอผมกล่าวสักนิดเถอะครับ
🌧️ สายฝนโปรยต้องวัชพืชเหมือนที่โปรยปรายต้องดอกไม้งาม
☀️ และแสงตะวันก็สาดส่องต้องคุกเช่นเดียวกับที่ส่องต้องโบสถ์น่าเกรงขาม
✨ แสงสว่างแห่งพระเจ้าไม่เลือกที่รักมักที่ชังฉันใด แสงสว่างของพวกเราก็ควรเป็นฉันนั้น
💢 หนทางนี้เท่านั้น วิธีนี้เท่านั้น โบสถ์นี้วัดนี้เท่านั้น ลัทธินี้เท่านั้น – ไม่มีหรอก
✨ มีแต่แสงสว่างจึงเป็นหนึ่งเดียวได้ ✨
ยามใดที่รั้วกั้นจิตสลายลง ยามนั้นแล้วที่มวลดอกไม้จะเบ่งบานสะพรั่งพร้อมหน้ากันในสวนศรีอันตระการตาหาใดเปรียบมิได้ สวนที่เรียกว่าอีเดนแห่งเมืองมนุษย์
(จบ — บทที่ 15)
หนังสือ
บันทึก
1
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
𝗠𝗲𝘀𝘀𝗮𝗴𝗲𝘀 𝗙𝗿𝗼𝗺 𝗧𝗵𝗲 𝗠𝗮𝘀𝘁𝗲𝗿𝘀
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย