Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Environman
•
ติดตาม
21 ม.ค. 2022 เวลา 13:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
ชวนดู 'The Impossible' หนังสะท้อนเหตุการณ์สึนามิถล่มไทยในปี 2547 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการช่วยเหลือกันระหว่างเพื่อนมนุษย์ และความรุนแรงของภัยธรรมชาติที่โลกกำลังเผชิญ
จากสถานการณ์ภูเขาไฟใต้ทะเลในเกาะตองกาปะทุครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 14-15 ม.ค. จนทำให้เกิดคลื่นสึนามิตามมา วันนี้เราเลยอยากชวนทุกคนมาย้อนรอยหนัง ‘The Impossible’ ที่สร้างขึ้นจากเรื่องจริงของครอบครัวหนึ่งที่ประสบเหตุการณ์สึนามิในประเทศไทยเมื่อปี 2547 ที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลมหาสมุทรอินเดีย
หนังเรื่องนี้เข้าฉายในไทยเมื่อปี 2555 และได้ถ่ายทอดเรื่องราวของครอบครัวต่างชาติที่มาฉลองช่วงเทศกาลคริสมาสต์ในประเทศไทย ที่บริเวณเขาหลัก จ.พังงา ซึ่งต้องเผชิญกับเหตุการณ์สึนามิร้ายแรงในขณะนั้น Naomi Watts รับบท ‘มาเรีย’ ผู้เป็นแม่, Ewan McGregor รับบท ‘เฮนรี’ ผู้เป็นพ่อ และ Tom Holland รับบท ‘ลูคัส’ ผู้เป็นลูกชายคนโตของน้องๆ อีกสองคน ซึ่งหลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตาเด็กหนุ่มคนนี้เพราะเด็กที่ปีนป่ายต้นไม้ในวันนั้นก็คือเจ้าหนุ่มที่ปีนป่ายชักใยในทุกวันนี้หรือสไปเดอร์แมนนั่นเองง
#เห็นอะไรในหนัง
สถานการณ์หลังภัยพิบัติสึนามิในเรื่องได้สะท้อนให้เห็นถึงความโกลาหลและความเสียหายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ รวมถึงความช่วยเหลือจากชาวบ้านในพื้นที่และองค์กรต่าง ๆ ซึ่งเรารู้สึกว่าทั้งแบคกราวสถานที่ ตัวละครคนไทย หรือภาพบรรยากาศต่าง ๆ ถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริงมากก ในอีกแง่มุมหนึ่งก็สะท้อนอุปสรรคที่เกิดขึ้นจริงได้อย่างตรงไปตรงมา เช่น ปัญหาด้านกำแพงภาษาที่ทำให้ยากต่อการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวขณะนั้น
และอีกปัญหาที่สำคัญคือ ความเสียหายของสิ่งสาธารณูปโภคที่พื้นที่อย่างไฟฟ้า ประปา สัญญาณโทรศัพท์ที่ถูกตัดขาด ซึ่งนั่นทำให้การช่วยเหลือเป็นได้ยากกว่าเดิม หากใครจำได้ ในช่วงนั้น สิ่งที่รัฐบาลไทยเร่งมือฟื้นฟูหลังเกิดเหตุการณ์ก็คือไฟฟ้าและสัญญาณโทรศัพท์ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบนั้นสามารถติดต่อและแจ้งข่าวสารกับผู้คนและญาติสนิทได้ ซึ่งจะทำให้การช่วยเหลือนั้นเป็นไปได้อย่างรวดเร็วขึ้น
ปัญหานี้เองก็มีให้พบเห็นจากสถานการณ์ในเกาะตองกาล่าสุดเช่นกัน เนื่องด้วยภูเขาไฟใต้ทะเลที่ปะทุขึ้นมา ทำให้พื้นที่บนเกาะถูกปกคลุมไปด้วยเถ้าถ่าน และขาดไฟฟ้า รวมถึงสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เนตขาดหาย ทำให้ผู้คนกว่า 105,000 คน ขาดการติดต่อไป
#ประเด็นถกเถียง
แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ได้ถ่ายทอดความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งทางกาย ทางใจ และทรัพย์สินที่เกิดขึ้น แต่ก็มีนักวิจารณ์บางส่วนที่แย้งว่าหนังเรื่องนี้มุ่งนำเสนอแต่เรื่องของนักท่องเที่ยวผิวขาวที่ได้รับผลกระทบ ได้รับบาดเจ็บ และสุดท้ายก็จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความสูญเสียที่เกิดขึ้นมีมากกว่านั้นเยอะสำหรับคนในพื้นที่ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน ถึงแม้บางคนอาจไม่สูญเสียชีวิต แต่ก็ยากที่จะฟื้นฟูและปรับตัวต่อชีวิตการทำมาหากินอีกครั้ง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้สะท้อนออกมา
รวมถึงประโยคโฆษณาจากหนังว่า 'nothing is more powerful than the human spirit' หรือ ‘ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าหัวใจของคน’ ที่โดนโจมตีว่าภัยพิบัติต่างหากที่รุนแรงยิ่งกว่านั้น!
แน่นอนว่าภัยพิบัตินับตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบันนั้นมีความรุนแรงที่ทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ และมาในหลายรูปแบบที่ยากต่อการรับมือ การมีวิธีการรับมือที่ดี ความช่วยเหลือจากภาคส่วนต่าง ๆ อย่างเป็นระบบนั้นช่วยให้เหตุการณ์คลี่คลายได้เร็วยิ่งขึ้น ส่วนในแง่ของเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งแล้ว เราคิดว่าการเห็นความเป็นคนเท่ากัน และช่วยเหลือกันในยามคับขันนั่นก็เป็นสิ่งที่เราควรกระทำ ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ถ่ายทอดประเด็นนี้ออกมาได้ดี เพราะคงไม่มีใครอยากตกอยู่ในความลำบากเหมือนกันแหละเนอะ ไหน ๆ ใครที่ดูแล้วเป็นยังไงบ้างมาร่วมแชร์กันได้นะ! หรือใครที่ยังไม่ได้ดูก็สามารถรับชมบน Netflix ได้เหมือนกันน้า
1
อ้างอิง:
1.
https://www.bbc.com/thai/international-60008224/
2.
https://www.theguardian.com/film/filmblog/2013/jan/02/attempting-the-impossible-asian-roles
3.
https://www.theguardian.com/film/filmblog/2013/jan/03/reel-history-the-impossible
4.
https://slate.com/culture/2012/12/the-impossible-debate-is-the-tsunami-movie-racist-and-offensive.html
5.
https://www.huffpost.com/entry/the-impossible-movie_b_2436141
1 บันทึก
1
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Green Review
1
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย