21 ม.ค. 2022 เวลา 02:58 • หุ้น & เศรษฐกิจ
คุ้ยประวัติศาสตร์วิกฤตเงินเฟ้อ ทำไมแบงก์ชาติจึงกังวล: ‘Hyperinflation’ วิกฤตที่นำเยอรมนีเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
https://wap.wikifx.com/th/newsdetail/202102228064351793.html
ปัจจุบันมีความกังวลกับการกลับมาของเงินเฟ้อทั่วโลกเพิ่มขึ้น วันนี้ผมจึงอยากจะเล่าถึงอันตรายของเงินเฟ้อ ผ่านวิกฤตเงินเฟ้อขั้นรุนแรงของประเทศเยอรมนีในช่วงระยะเวลาหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้สิ้นสุดลง
ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวิกฤต Hyperinflation ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินของโลก และก่อให้เกิดความผันผวนไม่เฉพาะกับทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญทำให้พรรคนาซีที่นำโดย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ได้ขึ้นมาครองอำนาจในเยอรมนี และก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด
เงินเฟ้อและ Hyperinflation คืออะไร
เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป คือการที่ค่าครองชีพในระบบเศรษฐกิจปรับตัวสูงขึ้น (หรือการที่เงินที่เราถือด้อยค่าลง) ซึ่งธนาคารกลางส่วนใหญ่จะมีเป้าเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 2 ต่อปี
แต่เงินเฟ้อที่สูงมาก รุนแรงมาก เราจะเรียกว่า Hyperinflation โดยทางเศรษฐศาสตร์ให้คำนิยามว่า Hyperinflation เกิดขึ้นเมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 ต่อเดือน
Hyperinflation ในเยอรมนี ปี 1923
ในปี 1922 ธนบัตรที่มีมูลค่าสูงสุดในเยอรมนีคือธนบัตร 50,000 มาร์ค ในปี 1923 ธนบัตรที่มีมูลค่าสูงสุดคือ 100,000,000,000,000 มาร์ค (1 ร้อยล้านล้านมาร์ค) ในเดือนธันวาคม 1923 เงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐสามารถแลกเงินได้ 4,200,000,000,000 มาร์ค (4.2 ล้านล้านมาร์ค) (ตอนปี 1914 1 ดอลลาร์สหรัฐ = 4.2 มาร์ค)
วิกฤตเงินเฟ้อในปี 1923 รุนแรงมาก อัตราเงินเฟ้อสูงถึงร้อยละ 29,525 ในเดือนพฤศจิกายน 1923
ซึ่งหมายความว่า ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นเกือบ 300 เท่า! ในเดือนพฤศจิกายน โดยเฉลี่ยในปี 1923 ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกสองวัน!
เพื่อให้เห็นภาพผลกระทบของ Hyperinflation มากขึ้น ผมจะหยิบยกตัวอย่างจากราคาขนมปัง
ในปี 1922 ราคาขนมปังหนึ่งก้อนอยู่ที่ 163 มาร์ค
ในเดือนมกราคม 1923 ราคาขนมปังขยับมาอยู่ที่ 250 มาร์ค
แต่ในเดือนกันยายน 1923 ราคาขนมปังนั้นได้ขึ้นไปถึง 1.5 พันล้านมาร์ค
และในเดือนพฤศจิกายนนั้นราคาขนมปังได้พุ่งไปสูงถึง 2 แสนล้านมาร์ค
ในช่วงเวลานั้นคนงานในเยอรมนีได้รับค่าจ้างทุกชั่วโมง เพื่อให้คนงานเอาเงินนั้นไปซื้อของก่อนที่เงินจะไม่เหลือค่า ยิ่งไปกว่านั้นกระดาษที่จะนำมาใช้ในการพิมพ์ธนบัตรมีค่ามากกว่ามูลค่าของธนบัตรนั้นๆ
ผมได้นำภาพที่เด็กเยอรมันเอาเงินมาเล่นเป็นของเล่น หรือเอาธนบัตรมาทำเป็นว่าวกระดาษ และแม่บ้านชาวเยอรมันเอาธนบัตรมาเผาเพื่อเป็นเชื้อเพลิงเพราะถูกกว่าราคาถ่าน เพื่อจะสะท้อนให้เห็นสถานการณ์ที่เลวร้ายถึงขนาดที่เงินนั้นไม่มีค่าอีกต่อไป (When Money Dies)
อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด Hyperinflation ในเยอรมนี
หลังจากที่เยอรมนีเป็นผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 สนธิสัญญาแวร์ซาย (Treaty of Versailles) 1 ได้บังคับให้ผู้แพ้สงครามต้องรับผิดชอบให้จ่ายค่าปฏิกรรมสงครามให้กับผู้ชนะสงคราม ซึ่งคิดเป็นมูลค่ามหาศาล (3.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 1921 หรือเท่ากับทองคำ 100,000 ตัน)
ซึ่งค่าปฏิกรรมสงครามนี้ทำให้เศรษฐกิจเหมือนเป็นอัมพาต และหลังจากที่เยอรมนีไม่ยอมชำระหนี้ในปลายปี 1922 ฝรั่งเศสและเบลเยียมได้ส่งทหารเข้าไปยึดเขตอุตสาหกรรมของเยอรมนีที่หุบเขารัวร์ (The Ruhr Valley) เพื่อเป็นการบังคับให้เยอรมนีใช้หนี้ แต่กลับทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก
และทางรัฐบาลเยอรมนีในขณะนั้น (Weimar Republic) เลือกที่จะพิมพ์เงินออกมาเพื่อมาค่าจ้างคนงานในเขตนั้น หลังจากคนงานเลือกที่จะหยุดงานเพื่อประท้วงการยึดครองของฝรั่งเศสกับเบลเยียม
และการที่รัฐบาลพิมพ์เงินออกมามหาศาลส่งผลให้เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง และเงินมาร์คไร้ค่าในที่สุด นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าทางเยอรมนีตั้งใจทำให้เงินไร้ค่าเพื่อทำลายเศรษฐกิจตัวเอง จะได้ไม่ต้องชำระค่าปฏิกรรมสงครามที่ประชาชนเยอรมันเองก็ต่างเห็นว่าไม่มีความยุติธรรมเลย
เงินเฟ้อมีทั้งผู้ได้และผู้เสียประโยชน์
ถึงแม้ผมจะได้พูดถึงความเลวร้ายของเงินเฟ้อ แต่ก็มีกลุ่มผู้ที่ได้ประโยชน์จาก Hyperinflation เช่น กลุ่มคนที่มีหนี้สิน อย่างเช่น นักธุรกิจ ประชาชนที่มีสินเชื่อบ้านและที่ดิน เพราะสามารถจ่ายหนี้ได้ง่ายดายด้วยเงินที่ไม่มีค่าอีกต่อไป และอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้ประโยชน์คือเกษตรกร เพราะราคาของผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นไปตามค่าครองชีพ และที่ดินก็เพิ่มมูลค่าตามเงินเฟ้อด้วย
กลุ่มคนที่เสียประโยชน์จาก Hyperinflation คือกลุ่มคนที่ได้เงินเดือนคงที่ เช่น ข้าราชการ หรือคนที่ได้รับบำนาญ เพราะรายได้ไม่ปรับตามค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
แม้กระทั่งแรงงานที่ได้ค่าจ้างรายวันก็ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ เพราะเงินที่ได้มาไม่มีค่า
อย่างไรก็ดีเมื่อเกิดวิกฤต Hyperinflation เศรษฐกิจก็จะล่มสลาย เพราะมีแต่คนอยากจะกำจัดเงินที่ตัวเองมีอยู่ออกไปให้เร็วที่สุด และนักธุรกิจก็ไม่อยากขายของ เพราะไม่อยากได้เงินสกุลที่ไร้ค่า
ในที่สุดก็ต้องใช้การแลกเปลี่ยนของกัน (Barter System) หรือใช้เงินสกุลอื่น เช่น ดอลลาร์สหรัฐ หรือทองคำแทนเงินที่ไร้ค่า
ผลกระทบนอกจากเรื่องเศรษฐกิจ
การที่เงินไร้ค่าในเยอรมนียังมีผลกระทบอื่นๆ ตามมา ทำให้คนเยอรมันขาดศีลธรรม รากฐานทางสังคมพังทลาย ทุกคนไม่เห็นค่าของการออม คนเยอรมันอยู่แบบวันต่อวัน พยายามใช้เงินเพื่อซื้อความอยู่รอด เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ในที่สุดคนเยอรมันหมดหวังในอนาคตอย่างหนัก จึงทำให้เกิดพรรคการเมืองที่มีแนวคิดสุดโต่งออกมาหลายพรรคมาก และหนึ่งในนั้นคือพรรคนาซี ที่พยายามจะล้มรัฐบาลในปี 1923 ที่เมืองมิวนิก (Munich Putsch)
และในที่สุดพรรคนาซีและฮิตเลอร์ได้ขึ้นปกครองเยอรมนีในปี 1933 และก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939
คนเยอรมันเกลียดและกลัวเงินเฟ้อมาก
จากประสบการณ์สุดโหดร้ายของ Hyperinflation ทำให้ประชาชนชาวเยอรมันเข็ดขยาดกับเงินเฟ้อมาก
ทำให้หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการจัดตั้งธนาคารกลางของเยอรมนี ชื่อว่า Bundesbank ซึ่งเป็นสถาบันที่จริงจังกับการต่อต้านเงินเฟ้อมาก โดยจุดประสงค์หลัก คือการจัดการเงินเฟ้อและได้รับอิสระในการทำงาน โดยที่ไม่มีแรงกดดันจากการเมือง (Central Bank Independence)
ในช่วงทศวรรษ 1970-1980 ที่ทุกประเทศทั่วโลกเผชิญกับเงินเฟ้อในระดับสูง แต่ Bundesbank สามารถคุมเงินเฟ้อได้ในระดับต่ำ
จนทำให้ Jacques Delors ชาวฝรั่งเศสที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้กล่าวชื่นชมธนาคารกลางของเยอรมนีไว้ในปี 1992 ว่า “ไม่ใช่ทุกคนในเยอรมนีจะเชื่อในพระเจ้า แต่ทุกคนเชื่อในธนาคารกลาง Bundesbank ของเขา” (Not all Germans believe in God, but they all believe in the Bundesbank.)
ซึ่งชื่อเสียงและความไว้วางใจต่อ Bundesbank ว่าจะไม่ทำให้เงินด้อยค่าจากเงินเฟ้อที่สูงไป ทำให้ทุกประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปต้องพยายามอิงค่าเงินของตนให้เกาะไปกับ Deutsch Mark (เงินมาร์ค) ถึงจะสามารถเข้าร่วมใช้เงินสกุลยูโรได้ (European Exchange Rate Mechanism) และธนาคารกลางของสหภาพยุโรป(European Central Bank) ก็ลอกเลียนแบบการจัดตั้งจาก Bundesbank
บทสรุป
บทเรียนจากเงินเฟ้อในประวัติศาสตร์ทำให้ธนาคารกลางเห็นความสำคัญของการจัดการกับเงินเฟ้อ เพราะผลลบจากการที่ควบคุมเงินเฟ้อไม่ได้นั้นมหาศาลนัก
การที่ตลาดการเงินกลับมากังวลกับเงินเฟ้อจึงไม่น่าแปลกใจ แต่ผมและนักเศรษฐศาสตร์โดยรวมมั่นใจว่าธนาคารกลางส่วนใหญ่จะคุมเงินเฟ้อได้ ไม่น่ากังวลว่าจะเกิด High Inflation หรือ Hyperinflation อีกครั้ง
ส่วนในบทความต่อไป ผมจะเล่าให้ฟังว่าทำไมการทำ QE (Quantitative Easing) ถึงไม่ก่อให้เกิดเงินเฟ้อ
พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ
  • 1.
    Bnomics
เพจ CONNOr~คอนเนอร์ เป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่ ที่ใช้เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป ขอขอบคุณครับ
โฆษณา