22 ม.ค. 2022 เวลา 10:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ข้อคิดจากหนังเรื่อง Click I โดย "วงเล่า"
จากปกติที่เป็นคนไม่ชอบดูหนังเท่าไร แต่นับจากที่ได้สมัครเป็นสมาชิกของ Netflix แล้ว ผมมีโอกาสดูหนังมากขึ้น
ซึ่งต้องยอมรับว่า หนังหลายเรื่องๆ นั้นมีข้อคิดดีๆ แฝงอยู่หลายอย่าง
วันก่อนมีโอกาสดูหนังเรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า “Click” ซึ่งเป็นหนังแนวคอมเมดี้ของสหรัฐอเมริกา ที่ฉายตั้งแต่ปี 2006 หรือ 16 ปีมาแล้ว
Theatrical release poster
แรกๆ ที่ดูไป ก็รู้สึกตลกฮาดีตามประสาหนังแนวคอมเมดี้ทั่วๆ ไป แต่ยิ่งดู ยิ่งดูไปกลับพบว่า ทำไมหนังเรื่องนี้ทำให้คนดูมีความรู้สึกเศร้ามากขึ้นเรื่อยๆ
ผมคงไม่เล่าเนื้อหาของเรื่องนี้มาก ถ้าใครสนใจก็ลองไปหามาดูกัน
แต่คร่าวๆ คือ เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวชาวอเมริกาครอบครัวหนึ่ง ที่ผู้นำครอบครัวที่ชื่อว่า ไมเคิล ผู้ทำงานเป็นสถาปนิกไฟแรง พยายามทำงานอย่างหนัก เพื่อประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน มีเงินทองมากมาย โดยมีเป้าหมายหลัก เพื่อให้ครอบครัวสุขสบาย
วันหนึ่ง ไมเคิลก็ได้รับ ‘รีโมทวิเศษ’ ที่ช่วยให้เขาควบคุมชีวิตตัวเองได้ สามารถกดหยุด ย้อนหลัง หรือเดินหน้าเวลาของตัวเองไปตอนไหนก็ได้
แน่นอนว่า สำหรับเขานั้น การกดเดินหน้าไปจนถึงวันที่เห็นตัวเองประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานนั้น เป็นสิ่งที่เขาอยากเห็นมากที่สุด
แต่ยิ่งเขากดเดินหน้าชีวิตตัวเองไปเรื่อยๆ เขากลับพบว่า เขากลับค่อยๆ สูญเสียคนที่ตัวเองรักไปทีละคนสองคน ไม่ว่าจะเป็น
-ภรรยาที่ไปแต่งงานกับผู้ชายคนอื่น
-ลูกๆ ที่ห่างเหินกับเขา
-พ่อที่เสียชีวิตไปโดยที่เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ร่ำลา เพราะมัวแต่ทำงานจนไม่ได้สนใจเรื่องดังกล่าว
-แม้แต่บ้านเล็กๆ ในสวนหลังบ้านที่เขาเคยสัญญากับลูกๆ ตอนที่ลูกยังเด็ก ว่าจะสร้างให้เสร็จ จนลูกโตมันก็ยังไม่เสร็จ
ครอบครัวของไมเคิล
จนมาถึงฉากที่เขากำลังจะตายลงในโรงพยาบาล เขาตัดสินใจถอดสายออกซิเจนที่ติดกับตัวเขา
แล้วพยายามตะเกียกตะกาย เพื่อวิ่งไปบอกทุกคนในครอบครัวที่กำลังจะกลับบ้าน หลังจากมาเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลว่า เขารักครอบครัว รักลูก และภรรยามาก ประมาณว่า ถ้าเลือกได้เขาคงอยากใช้เวลากับคนที่เขารักมากกว่านี้..
ซึ่งฉากนี้ทำให้ผมนึกถึงประโยคหนึ่งที่พูดโดย Paul Tsongas อดีตนักการเมืองชาวอเมริกันที่พูดว่า
No one on his deathbed ever said, I wish I had spent more time on my business.
Paul Tsongas
หรือ "มันคงไม่มีคนใกล้ตายคนไหนที่พูดว่า ฉันน่าจะใช้เวลาทำงานให้มันมากกว่านี้"..
สมัยผมเด็กๆ ผมมักคิดว่า คนเก่งคือ คนที่เรียนหนังสือได้ดี สอบได้คะแนนสูงๆ เรียนในคณะดังๆ
พอเริ่มมาทำงานใหม่ๆ ผมก็คิดว่า คนเก่งคือ คนทำงานที่มีเงินเดือนสูงๆ รายได้มากๆ
แต่หนังเรื่องนี้ ทำให้ผมหรือแม้แต่ใครที่ได้ดู อาจได้มุมมองอีกด้านว่า คนเก่งที่แท้จริงแล้ว อาจเป็นคนที่สามารถบริหารจัดการเวลาได้ลงตัวและเหมาะสมที่สุด ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว มีเวลาให้กับคนที่เรารัก มีเวลาดูแลรักษาสุขภาพตนเอง
พูดง่ายๆ คือ สามารถสร้างสมดุลในชีวิตได้ทุกเรื่อง จนใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
เพราะในชีวิตจริง พวกเราทุกคนไม่มีเครื่องมือวิเศษหรือไทม์แมชชีนที่จะย้อนเวลากลับไปในอดีต เพื่อแก้ไขสิ่งที่เราทำผิดพลาดไปแล้ว
ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ก็เพียงแค่ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้ไปต้องไปโหยหากับอดีตที่ไม่มีวันย้อนกลับมา
โฆษณา