22 ม.ค. 2022 เวลา 11:55
"กรรมพันธุ์"
ฉัน เกิดมาในครอบครัวฐานะค่อนข้างยากจน
มีพี่น้องสามคน ซึ่งฉันเป็นคนกลาง
บิดา มีอาชีพ พนักงานบริษัท และมารดา ก็เป็นพนักงานบริษัทเหมือนกัน
แต่ปัจจุบันนี้ ท่านทั้งสอง เกษียณตัวเองออกมาแล้ว
มารดา เกษียณตัวเองออกมาก่อน เพราะ มารดา มีลูกสาวคนเล็ก ที่เป็นน้องสาวของฉัน
ด้วยความที่มารดา เป็นห่วงลูกสาวคนเล็กมาก จึงเกรงว่าจะไม่มีใครมาดูแล
มารดาของฉัน คลอดน้องสาวคนเล็กออกมาตอนที่มารดาฉันมีอายุตั้ง41ปี
บวกทั้งมารดาของฉันไม่ค่อยแข็งแรง เดี๋ยวเจ็บตรงนั้น เดี๋ยวเจ็บตรงนี้
ฉัน เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เหมือนตัวเองเป็นนักเขียนที่คอยเฝ้าสังเกตุทุกสิ่งรอบตัว และถ่ายทอดมันออกมา
ร่างกาย สมอง ความคิด และจิตใจของฉันมองเห็น สถานการณ์ต่างๆในชีวิต
ที่เกิดขึ้นมา ตั้งอยู่ และดับลงไป
ตัวฉันเอง ได้แต่นึกในใจไว้ว่า นี่คือ ชีวิต
บิดาของฉัน ไม่ใช่คนทันคน มักโดนหลอกเสมอในชีวิต อีกทั้งเป็นคน เชื่องช้า ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ
ฉัน เห็นสถานการณ์ฉุกเฉินหลายสิ่ง หลายต่อหลายครั้งที่เกิดขึ้นในชีวิตของบิดาฉัน ตั้งแต่ฉันจำความได้
ว่าด้วยเรื่องการใช้ชีวิตของบิดา
บิดาของฉัน มักจะเสียเงิน ไปกับเพื่อนฝูง
เพื่อนฝูงพากันให้เลี้ยงเหล้า เลี้ยงเบียร์อยู่ เป็นนิจ
บิดาก็ไม่เคยแม้จะปฎิเสธ และ
ไม่ต้องเดายาก บิดาของฉันและมารดา ทะเลาะกัน ตีกัน เป็นประจำ เพราะ เงิน เลี้ยงชีพ ไม่เพียงพอ
มันจะพอได้ยังไง
บิดาก็ไม่ทันคน มารดาก็ใช้เงินเก่งไปกับเรื่องไร้สาระ
ไม่ต้องสืบ ว่าปัญหาจะตกไปอยู่ที่ใคร
ถ้าขาดวินัยการใช้เงิน....
ฉันมักจะมีความทรงจำเกี่ยวกับตัวฉันเองในด้านสุขภาพร่างกายที่ไม่ดี อย่างเช่น ฉันชอบเหนื่อยง่าย เจ็บหัวใจ และขี้กลัว จนมากกว่าคนปกติ อาการทั้งหมดนี้ ฉันเป็นตั้งแต่อายุได้7กว่าขวบเอง
ฉันมักจะนั่งร้องไห้ กลัวความตาย กลัวโรคภัยต่างๆเกินเด็ก
และรู้สึกหวาดกลัว ตัวสั่น เกือบทุกเย็น ของทุกวัน
โดยกอดหนังสือพระไว้ตลอดเวลา ณ ขณะนั้น ฉันมีอายุเพียง7ขวบด้วยซ้ำ
ฉันไปเอา ความคิดเหล่านี้มาจากไหนกัน?
พ่อแม่ก็ทำได้แค่ปลอบฉันเพราะท่านคงไม่ได้คิดว่าฉันจะเป็นอะไรมากมายไปกว่านี้
จวบจนตอนนี้ ฉัน อายุ32ปี
ฉันกลายเป็น โรคแพนิค ฉันหวาดกลัว ความตาย ฉันหวาดกลัวโรคภัย ฉันมักมีอาการใจสั่น ใจหาย ซึมเศร้าในความรู้สึกทุกเย็น
มันทรมานมากเหลือเกิน ที่ฉันต้องต่อสู้กับอาการเหล่านี้ในหัวสมองของตัวเอง
ตอนฉันอายุ22เห็นจะได้ แต่ก่อนฉันเป็นคนหน้าตาดี
มีความคิดและแอตติจูดที่ดี ในระดับนึง
ถึงแม้ว่าคนรอบกายจะดูเหมือนไม่จริงใจสักคน
แต่ฉันไม่เคยโกงใคร และฉันไม่ริษยาใคร ฉันชื่นชมทุกคนที่ประสบความสำเร็จ ฉันชอบปาร์ตี้หรรษา เกือบทุกวัน ชีวิตไม่ค่อยมีความทุกข์เท่าไร
หรืออาจเป็นเพราะฉันไม่ได้พักอาศัยอยู่กับครอบครัว
ได้แต่เพียงส่งเงินมาให้ใช้เท่านั้น
ฉันเลยไม่ได้มารับรู้ถึงปัญหาภายในบ้าน
และแล้ว
เมื่อฉันกลับมาอยู่ร่วมกันกับครอบครัว ฉันกลับกลายเป็นคนมีความคิดริษยา ถึงเป็นไม่บ่อย แต่นั่น ก็ไม่ควรเกิดขึ้นกับคนที่ คิดดีมาตลอดอย่างฉัน
ฉันเริ่มที่จะรับผิดชอบกับปัญหาภายในบ้านที่ไม่มีใครจัดการได้อยู่บ่อยๆ
จากเด็กผู้หญิงคนนึง ที่หน่อมแน้ม ต้องสวมหัวโขนเป็นคนเข้มแข็งและขาลุย
เพื่อปกป้องทุกคนในบ้าน
และอะไรที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นให้ได้มาเพื่อเงินทอง ฉันก็ทำ เพื่อคนในบ้าน
แต่ไม่ใช่ว่าที่ฉันกลายเป็นแบบนี้ และฉันจะมีความสุข
ในทุกคืนฉันเฝ้าโทษอาการริษยาของฉัน ว่าเกิดมาจาก การที่ฉัน "โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่"
ฉันเรียนรู้ จากความผิดหวัง ท้อแท้และหมดหนทาง ฉันดี ฉันอ่อนแอ ฉันไม่เด็ดขาด ฉันจึงได้เจ็บช้ำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ผู้คนที่เข้ามาหาตัวฉัน หาความจริงใจและความปรารถนาดีได้ยาก ซึ่งแตกต่างจากตัวฉัน
ใช่ และฉันจะจริงใจ ไปเพื่ออะไรกัน?
สุดท้ายฉันจึงได้ค้นพบ ว่า ฉันควร ร้ายกาจ กับผู้คนทั้งหลายเหล่านั้นซะบ้าง เพื่อเป็นการป้องกันความเจ็บช้ำภายในหัวใจของฉัน
ฉันร้ายกาจ มากเสียจน บางทีฉันยังตกใจกับความคิดตัวเอง ว่าฉันเหมือนปีศาจ เข้าไปทุกวัน
ฉันวีน ฉันเหวี่ยง ฉันใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลและอยู่เหนือความใจเย็นทั้งหมดที่ฉันเคยเป็นมา
ครั้งนึง ฉันต้องพบเจอประสบปัญหาของที่บ้าน
เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นโรงขึ้นศาล ฉันเองต้องหาทนง ทนาย และต่อสู้คดีแทนบิดา
กว่าเรื่องราวทั้งหลายจะปิดฉากลง สมบูรณ์ไป90%
แน่นอน
ฉันป่วย.....
.....ป่วยทางจิต
การเที่ยวขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นปีๆ มันทำให้ฉันมีจุดเปลี่ยนในชีวิตมากมาย
ทุกเรื่องราว ความเจ็บใจและความเจ็บปวดทั้งหลายที่เคยพบเจอ มันรุมเร้าหัวสมองของฉัน ไม่ได้พัก
ฉันขจัดปัญหาทั้งหลายไม่ได้
มันทำให้ฉัน เตลิดเปิดเปิง กับความชั่วร้ายทั้งหมด
ฉันเหมือนคนบ้าที่คุยกับตัวเองทุกวัน
ถ้าตอนนั้น ฉันมีสติและใช้ความปราณีปรานอม นึกถึงหัวใจของทุกฝ่าย ไม่ต้องมาทำตัวเหมือนเก่งกล้าสามารถ ยอมหักไม่ยอมงอ ป่านนี้ ฉันคงไม่เป็นโรคประสาทอยู่แบบนี้....
ชีวิตฉัน และครอบครัว ท้ายสุด ไม่ได้อยู่ภายใต้หลังคาบ้านเดียวกันอีกต่อไป มันเป็นเหมือนดั่งแพแตก
แยกกันไปคนละทิศ คนละทาง
บิดามารดา กลับไปอยู่ ตจว. บ้านเกิดของมารดา
ด้วยการปลูกกระท่อมเล็กๆ
ส่วนน้องสาว ไปอยู่หอพักมหาวิทยาลัย
ส่วนไอ้พี่ชายคนโต อยู่ หอพัก ใกล้กับที่ฉันอาศัยอยู่ของบ้านสามี
ปัจจุบันนี้ ฉันได้ลาออกจากงานประจำ ปล่อยให้สามีทำไปคนเดียว
เพราะฉัน เป็นห่วงลูกทั้งสองคน
ฉันอยากเลี้ยงลูกด้วยตัวของฉันเอง
(ฉันเป็นเหมือนกันกับมารดาที่ลาออกงานมาดูแลลูกสาวคนเล็ก)
ลูกทั้งสองคนของฉันเป็นคนละพ่อ
ลูกคนโตของฉัน แต่ก่อนไปอยู่กับตายายที่ตจว.
มารดาของฉันเป็นคนเลี้ยงดู
โดยมีฉันคอยส่งเสียให้กินให้ใช้
แต่พอฉันได้ออกงานมา ฉันจึงไปรับเขามาอยู่ด้วยกัน
ตอนนี้ ฉันว่างงาน และก็สมองว่าง ฉันได้แต่เพ้อ ฟุ้งซ่านเกี่ยวกับความรวยต่างๆนาๆ
ฉันอยากเป็นเจ้าของ นู่นนี่นั่น สารพัดสารเพ
ทั้งๆที่ตัวของฉัน ยังย่ำอยู่กับที่
ฉันเหมือนคนไร้ประสิทธิภาพ ไปทุกวัน
ฉัน เฝ้าคิดเหตุุการณ์ต่างๆ ที่ฉันเคย โกรธ ไม่พอใจ มารดา
ที่เป็นคนสุรุ่ยสุร่าย ใช้จ่ายเกินตัว เล่นแต่หวย
เก็บเงินไม่อยู่ ขาดวินัยในการใช้ชีวิต
ไม่เก็บหอมรอบริบ ไม่สร้างอะไรไว้เลย
แต่สุดท้าย ฉัน กลับจะกลายเป็นเหมือนที่ "แม่" ฉันเป็น
ฉันได้เพ้อฝันไปวันๆ
ฉันในวัยรุ่น เคยคิด ว่าจะไม่เป็นแบบที่มารดาและบิดาฉันเป็น
ฉันทะเยอทะยานต่างจากคนที่บ้าน ฉันเก็บเงินเก่ง ฉันตั้งใจจะซื้อบ้านให้ทุกคนได้อยู่ดีๆ
สุดท้าย มารดาของฉันก็เอาเงินฉันไปจนหมด
ฉันสูญเสียเงินทอง สูญเสียกำลังใจ สูญเสียความตั้งใจ มารดาไม่เคยให้กำลังใจ มารดาไม่เคยเป็นแรงบันดาลใจ
มารดา ดูแคลนทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันตั้งใจจะสร้าง
ฉันถกเถียงกับมารดามาเกือบทั้งชีวิต
เพราะฉันในตอนนั้น รักความก้าวหน้ามาก และก็คิดมาเสมอ ว่าจะไม่มีอะไรมาหยุดฉันได้
มารดาฉันเป็นบุคคลที่กลัวความเจริญ กลัวความมั่งคั่ง
มารดาฉันเฝ้ารอแต่ รางวัลที่1 อยู่ทั้งชีวิต
จนเงินขายที่ดินของพ่อหมดลง
จนบ้านที่เช่า เขาไล่ออก
จนน้องสาวไปอยู่หอแบบไม่มีอันจะกิน
ใช่ ทุกคน คงคิด ว่าทำไมฉันจึงไม่เป็นเสาหลัก
เชื่อฉันสิ ฉันพยายาม และตั้งใจ จะเป็นแล้ว
และตัวฉันเอง ต้องกลายเป็นคนสับสนทางจิต
ไม่รู้จะลุกขึ้นต่อสู้ หรือ ไม่รู้จะวางเฉยไม่ทำอะไร
ไม่รู้จะต้องขยัน หรือ ไม่รู้จะต้องพอใจในสิ่งที่มี แบบไม่ค่อยมีอันจะกิน
ทั้งที่แต่ก่อน ฉันหาเงินมาจุนเจือครอบครัวได้เยอะมาก
แต่ตอนนี้ มัน แร้งแค้นได้ขนาดนี้เพราะอะไร
ฉันก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมทุกวันนี้ ฉันจึงถอยหลังเข้าคลอง
ทุกเย็น ฉันซึม แบบบอกไม่ถูก ไฟที่เคยมี มันหายไปไหน
มันมอดไหม้ไปแล้วหรือยังไร
...........................
สิ่งที่ฝังใจฉัน ตั้งแต่เล็กจนโต
มารดาไม่เคย"เห็นใจ"ฉันเลยแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
ฉันเหมือนเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่รัก
ฉันไม่เคยได้กำลังใจจากท่าน ไม่เคยเลย
แต่ฉันก็รักมารดาบิดาของฉันเท่าชีวิต
ฉันเป็นคนส่งเสียให้กินเพียงคนเดียว โดยที่ พี่ชายไม่เคยช่วยเหลือเลย
แปลกตรงที่ มารดา ขอเงินเพียงแต่ฉัน แต่พอฉันขอกำลังใจในการทำงาน เขาให้ได้แต่เพียง
คำ "ดูแคลน"
ผิดกับพี่ชายของฉัน มารดาไม่เคยโทรไปทำให้ลำบากใจเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยขอเงินพี่ชายของฉันเลยด้วยซ้ำ มีแต่โทรไปให้กำลังใจ
กำลังใจ ที่ฉันเองไม่เคยได้เลย....
ทั้งที่พี่ชาย มีเงินทองมากมายกว่าฉันด้วยซ้ำนะ
เหตุผลเดียวที่มารดาบอกคือ เขาสงสารที่สมัยแต่ก่อน
พี่ชายฉันลำบากมาเยอะ มารดาของฉันจึงรักและเห็นใจพี่ชายของฉันมากที่สุด
......................
ทุกวันนี้ ฉัน มีอาการกลัว ทุกสิ่งที่มันเลวร้าย ฉันกลัวมันไปหมด และเวลากลัว ฉันก็จะมีอาการที่ทรมานเหมือนคนกำลังจะตาย
ยาย ของฉัน ก็เป็นแบบฉัน ฉันเพิ่งมารู้ ไม่นานมานี้
ทุกครั้งที่ยายกลัว เวลาไปหาหมอ
ยายของฉันมีอาการ กล้ามเนื้อท้องกระตุก ตัวสั่นและ มือสั่น
มันคือ กรรมพันธุ์
ที่ฉันได้ ความเจ็บป่วยทางกายนี้มาจากยาย
และที่น่าตกใจไปมากกว่านั้น คือบิดาของฉัน ก็มีอาการกลัวเหมือนที่ฉันเป็น....
และที่น่าตลกที่สุด ฉันกลายเป็นคนที่ กลัวความล้มเหลวไปโดยปริยาย ทั้งที่ฉันมุ่งมั่น ที่จะเอาชนะมัน มาโดยตลอด
กรรมพันธุ์นี้ ฉันได้มาจากใคร..
.สายณ์.
โฆษณา