8 ก.พ. 2022 เวลา 14:31 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
DUNE (2021) - มหากาพย์ไซไฟเรื่องเยี่ยมที่ไม่ได้เห็นมานานนับจาก The Lord of the Rings / เข้าชิง Best Picture ในเวทีออสการ์ !
" จุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยิ่งใหญ่ของ Paul Atreides... "
สวัสดีครับ ชาว Blockdit ทุก ๆ ท่าน… หลังจากปีที่แล้ว ทุกคนคงจะได้ชมภาพยนตร์ Dune (2021) ซึ่งผมมีโอกาสได้เข้าไปชมเช่นกัน ต้องอยากจะบอกเลยว่า การชม Dune ในโรง ถืออีกเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการดูหนังในโรงภาพยนตร์ของผมเลย
ดังนั้นผมจึงอยากจะมารีวิว เพื่อแชร์ไอเดียนะครับ
[ เรื่องย่อ ]
เรื่องย่อ -เรื่องราวในอาณาจักรกาแลคซีอันกว้างใหญ่ ราชวงศ์อาทรีเดสที่มีหนึ่งในสมาชิกคือ พอล อาทรีเดส (Timothée Chalamet) ได้มารับหน้าที่ปกครองดาวทะเลทรายชื่อ "อาร์ราคีส" ดาวดวงนี้มัทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในจักรวาลที่เรียกว่า “Spice” ซึ่งช่วยในการเดินทางข้ามจักรวาล
ขณะเดียวกัน จักรพรรดิแห่งกาแลคซีก็เริ่มเกรงกลัวต่อราชวงศ์อาทรีเดสที่เริ่มเป็นที่นิยมชมชอบของราชวงศ์อื่น ๆ จึงได้ร่วมมือกันกับราชวงศ์ที่เป็นปรปักษ์ เพื่อวางแผนลอบสังหารตระกูลอาทรีเดส อันนำไปสู่การเดินทางครั้งใหม่ของพอล
เกี่ยวกับผู้กำกับ - Dune: Part One (2021) ได้รับการกำกับโดย Denis Villeneuve ที่มีผลงานดังอย่าง Sicario (2015), Arrival (2016), Blade Runner 2049 (2017) (โดยเฉพาะสองเรื่องหลังนี้ ถือเป็นงานปรัชญาไซไฟยุคใหม่ชั้นเยี่ยม และน่าจะเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ Denis ได้มากำกับภาพยนตร์ Dune ที่เป็นแนวปรัชญาไซไฟเช่นกัน)
เกี่ยวกับดนตรีประกอบภาพยนตร์ - ในส่วนของดนตรี Hans Zimmer หนึ่งในคอมโพเซอร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในวงการภาพยนตร์ ได้มาเป็นผู้ประพันธ์ดนตรีให้กับ Dune
รางวัลการันตีผลงาน - หนังได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขา Best Picture - Drama และสาขา Best Director Motion Picture รวมถึงคว้ารางวัลในสาขา Best Score Motion Picture
[ ความเป็นมหากาพย์ที่เทียบเท่ากับ The Lord of the Rings ]
ถ้าจะพูดถึงภาพยนตร์ชุด (Sequel) แนวมหากาพย์แฟนตาซี - ไซไฟ คุณภาพเยี่ยม มีความเป็นปรัชญาและเป็นที่คุ้นเคยกับเหล่าผู้ชม ผมอยากจะขอยกให้กับ 4 เรื่องนี้ที่ผมมองว่าค่อนข้างโดดเด่นกว่าเรื่องอื่น ๆ ได้แก่
  • 1.
    Star Wars Episode IV-VI (1977 - 1983)
  • 2.
    The Lord of the Rings (2001 - 2003)
  • 3.
    The Matrix (1999 - 2003)
  • 4.
    Avatar (2009 - ยังมาแค่ภาคเดียว)
ในสี่เรื่องนี้ ขอยกให้ LOTR เป็นไตรภาคภาพยนตร์ที่ดีที่สุด]
The Lord of the Rings - หนึ่งในมหากาพย์แฟนตาซีที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์
ดังนั้นจะสังเกตเห็นว่าหลังจากปี 2009 เป็นต้นมา ก็ไม่มีภาพยนตร์ชุดแนวมหากาพย์ (ผสมปรัชญา) ผ่านมาอีกเลย...
จนกระทั่งในปีนี้ Dune เวอร์ชั่น 2021 ได้เข้าฉาย หลังจากที่ผมได้ดู ก็ต้องขอชมว่า Dune (2021) จัดว่ามี 'Scale และคุณภาพอยู่ในระดับเดียวกับ The Lord of the Rings'
เรียกได้ว่าต้องรอถึง 18 ปี (นับจาก 2003) กว่าที่จะมีภาพยนตร์ในมหากาพย์ระดับเดียวกับ LOTR โลดแล่นเข้ามาในวงการภาพยนตร์อีกครั้งหนึ่ง
[ ต้นทุนเรื่องที่ดีจากงานประพันธ์ของ Frank Herbert ]
สาเหตุที่ทำให้ Dune (2021) โดดเด่นได้ขนาดนี้
จุดเด่นแรกที่ผมอย่างจะพูดถึงคือ 'ต้นทุนเรื่อง / โครงเรื่องแนวปรัชญาไซไฟ' ของ Dune ที่ถูกประพันธ์ไว้โดย Frank Herbert ในปี 1965 นั้น ถือเป็นงานประพันธ์ขึ้นหิ้งในระดับเดียวกับงานประพันธ์ The Lord of the Rings ของ J. R. R. Tolkien ซึ่งงานประพันธ์ทั้งสองเรื่องนี้ ต่างเป็นต้นกำเนิดสายธารให้กับนวนิยายหรือภาพยนตร์ยุคหลังอีกมากมาย (อย่าง Star Wars ของ George Lucas ก็ได้รับอิทธิพลมาจาก Dune เช่นกัน)
ภาพนิยาย Dune ในเวอร์ชั่นเก่า
ตัวผู้กำกับ Denis Villeneuve จึงถือได้ว่ามีต้นทุนเรื่องที่ดีมาก เหมือนมีวัตถุดิบเริ่มต้นที่สามารถนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ชั้นเยี่ยมได้ แต่ในขณะเดียวกันนี่ก็อาจะเป็นงานหินอีกอย่าง เพราะด้วยโครงสร้างเรื่องแนวมหากาพย์ที่ทั้งใหญ่และซับซ้อน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายการพัฒนาไอเดียเพื่อเปลี่ยนสารตั้งต้นจากบทประพันธ์ไปสู่งานภาพยนตร์ขนาดใหญ่...
ในจุดนี้เอง ต้องขอชื่นชม Denis Villeneuve ในการพัฒนาและใส่วิสัยทัศน์ให้กับ Dune ในเวอร์ชั่นนี้ เพราะตัวเขาเองสามารถสร้าง Dune ในเวอร์ชั่นที่ยังเคารพบทประพันธ์เอาไว้ ซึ่งสะท้อนความเป็นปรัชญาไซไฟ (ผสมการเมือง + ศาสนา) ได้อย่างดีเยี่ยม
Denis Villeneuve ผู้กำกับ Dune (2021)
[ อรรถรสที่ถูกถ่ายทอดอย่างคุ้มค่า ]
ด้วยความที่หนังมีลักษณะเป็นมหากาพย์ ทีมผู้สร้างก็ใส่ความเป็นมหากาพย์ลงไปในภาพยนตร์อย่างเต็มที่ ผ่านงานดีไซน์, Cinematography, Soundtrack, Sound Effects...
ต้องชื่นชมที่ทีมผู้สร้างตีโจทย์แตก
  • 1.
    ทีมผู้สร้างรู้ว่าควรจะฉายภาพอะไรออกไป จักรวาลในมุมมองของ Dune ที่หนักแน่นสมจริง
  • 2.
    ความเป็นเหตุเป็นผลที่ดีควรเป็นอย่างไร
  • 3.
    ต้องตีความอย่างไรให้ Dune มี Balance ระหว่างโครงนิยายเดิมกับการเป็นภาพยนตร์สมัยใหม่ไปด้วยกัน
พอผู้สร้างเข้าใจในจุดนี้ และถ่ายทอดได้อย่างถูกที่ถูกเวลา หนังจึงสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้...
หนังทำให้ผู้ชมสัมผัสจับต้องโลกจินตนาการของ Dune ได้จริง ๆ พร้อมที่จะอินไปกับเรื่องราว และถึงแม้ว่าจะอิงเนื้อเรื่องจากบทประพันธ์เดิม ในขณะเดียวกันก็อาศัยวิธีการเล่าเรื่องแบบสมัยใหม่ผสานกับเทคนิคภาพยนตร์ ทำให้งานออกมาดูสดและน่าสนใจมาก
[ ภาพรวมของ Dune: Part One (2021) ]
- โดยภาพรวม Dune ต้องบอกว่าเป็นงานที่ค่อนข้างสมบูรณ์ สำหรับบทภาพยนตร์ถือว่าดีเยี่ยม การดำเนินเรื่องละเมียดละไม (หรือบางคนอาจมองว่าเนิบ) แต่ก็หนักแน่น เข้มข้น น่าติดตาม ช่วงเข้าโหมดกดดัน ก็ทำให้คนดูรู้สึกถึง Pressure ตามบรรยากาศเรื่องได้
- งานภาพ ทั้งมุมกล้องและ CG รวมถึงงานเสียงช่วยสร้างอารมณ์บรรยากาศของเรื่องได้เจ๋งจริง ๆ (แบบอะไรจะอลังการปานนี้ 😂)
- งานเทคนิคดีไซน์มีความโดดเด่น เช่น การดีไซน์และใส่กลิ่นอายทะเลทรายแบบชาวอาหรับ / หนอนยักษ์ / ยานอวกาศ... ต้องบอกว่าอลังการจริง ๆ
- หลาย ๆ ซีนดูแล้ว รู้เลยว่า Star Wars ได้อิทธิพลมาจากใคร 😂
- สำหรับเรื่องนักแสดง ทุกคนแสดงได้สมบทบาท ไม่มีอะไรต้องติเลย
[ ข้อเสีย / คำแนะนำ ]
- แม้ว่า Dune จะไม่ใช่หนังอาร์ต 100% แต่สไตล์หนังของ Denis Villeneuve ก็ไม่ใช่สไตล์ที่จะเหมาะกับทุกคน (หนังแกมักจะซับซ้อน ดำเนินเรื่องเนิบ มีแก่นที่ลึก และมีความอาร์ต) จึงไม่ใช่หนังที่ดูง่าย ผู้ชมต้องใช้พลังงานเยอะในการคิดวิเคราะห์เพื่อติดตามเรื่อง...
และแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบเรื่องนี้ คิดว่าหนังน่าจะดูเอนไปทางสายนักวิจารณ์มากกว่า (เพียงแต่มีความอลังการแบบหนัง Blockbuster / ทุนสร้างสูง)
- หนังมีความยาว 2 ชั่วโมง 35 นาที อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ชอบนั่งดูหนังนาน ๆ
- Dune ภาคนี้ สร้างมาเพื่อปูเรื่องไปสู่ภาคต่อไปโดยเฉพาะ เนื้อเรื่องจริง ๆ จึงดูไม่ค่อยมีอะไรมาก เหมือนเป็นการอารัมภบทจุดเริ่มต้นการเดินทางของตัวละครเอกมากกว่า โดยเน้นที่ให้ผู้ชมเข้าใจในจักรวาลของ Dune และการเห็นนิมิตของพระเอก (ซึ่งก็ทำได้น่าติดตาม) หากไม่ดูภาคนี้ก็อาจจะดูภาคต่อไปไม่รู้เรื่อง
[ เปรียบเทียบ Dune / LOTR / Star Wars ]
ในมุมมองผม ถ้าเทียบ Dune (2021) กับ Lord of the Rings (2001 - 2003): ผมยังรู้สึกประทับใจในตัว LOTR มากกว่า
ผมรู้สึกว่า มุมมองของ Peter Jackson (ผู้กำกับ LOTR) ในการเล่าเรื่องราวภายใน Middle Earth ของแก ทำให้ผู้ชมเข้าใจได้ง่ายกว่าและมี Detail มากกว่า (อาจจะเรียกได้ว่า Peter Jackson เล่าได้เฟรนลี่กับคนดู)
ส่วนถ้าเปรียบเทียบเรื่องราวของ Dune กับ Star Wars
เนื่องจาก Dune เป็นงาน Original ดังนั้น Dune จะมีโทนที่ซีเรียส ลึกและสมจริง ไปทั้งทางไซไฟ ปรัชญาการเมือง ผสมกับศาสนาและความเชื่อ ส่วน Star Wars จะมีพล็อตที่เบากว่า เน้นไปทางการเมืองและความขัดแย้งเป็นส่วนใหญ่
[ สรุป ]
Dune: Part One (2021) - ถือเป็นงานที่น่าสนใจ เพราะนับจาก The Lord of the Rings ในวงการภาพยนตร์ก็ไม่ได้มีผลงาน Scale ระดับนี้มานานแล้ว...
ทุกอรรถรสที่ Dune มอบให้กับเหล่าผู้ชม สามารถเรียกได้ว่า เป็นสิ่งที่โดดเด่นและน่าประทับใจ (แต่ก็ต้องใช้พลังงานในการเสพอย่างมากเช่นกัน) หนังมีกลวิธีการเล่าและความอาร์ตตามสไตล์ผู้กำกับ จึงไม่ใช่หนังดูง่าย แต่ก็ไม่ได้เข้าใจยากจนเกินไป ถ้าตั้งใจดู ค่อยๆ เสพอย่างใจเย็น / ละเมียดละไม ก็จะอินและสนุกไปกับเรื่องได้
ทั้งนี้ Dune เป็นหนังที่เราควรดูในโรงภาพยนตร์เป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้งงานภาพและเสียงอลังการจริง ดูในโรงช่วยขับเน้นบรรยากาศได้มาก (เหมือนทำมาสนองกิเลสให้กับคนดูที่ก่อนหน้านี้โรงหนังปิดยาว 😂)
สำหรับเรื่องรางวัล ถ้ามองในแง่โอกาสออสการ์ผมว่า น่าเข้าชิงหลายสาขา ยิ่งถ้าไปทางด้านเทคนิคอย่างเรื่องภาพและเสียงถือว่าน่าคว้าออสการ์มาก และถ้ากระแสนักวิจารณ์มาแรงจริง ก็อาจไปถึงรางวัลหลักอย่าง Best Pictures ได้ด้วย... เราคงต้องรอตามลุ้นกันต่อไป!
สุดท้ายนี้ก็ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ ไว้มีเรื่องอะไรน่าสนใจเดี๋ยวจะมาแนะนำอีก ขอบคุณครับ
ป.ล. จะว่าไประหว่างดู ผมก็แอบนึกถึงซีนในหนังจางอี้โหมว โดยเฉพาะพวกช็อตอลังการหรือพวกซีน Slow-motion มาทีไร ต้องว้าวทุกที 😂
ป.ล.2 ดีใจมาก 😭 เหมือนจะคอนเฟิร์มแล้วนะครับ สำหรับ Dune: Part Two ถ้าเกิดโปรเจ็คไม่ได้ไปต่อนี่เสียดายแย่ งาน Masterpiece ระดับนี้
Credit: เพจ Legendary Pictures (บริษัทผู้สร้าง)
ป.ล.3 อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากคุยหรือติดต่อกับผมนะครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา