25 ม.ค. 2022 เวลา 09:12 • ความคิดเห็น
วันนี้ไม่ได้จะมาระบายความรู้สึกหรือเขียนรีวิวหนังสือ แต่มาป้ายยา หรือเชิญชวนให้ทุกคนได้ลองฟังคลิปนี้ แต่ก่อนที่จะไปพูดถึงเนื้อหานั้น อยากจะเล่าจุดเริ่มต้นของการติดตามช่องนี้ ซึ่งคลิปแรกที่เราได้ดูไม่ใช่คลิปนี้ค่ะแต่เป็นคลิปที่พูดถึงการที่ไม่รู้ว่าเราเก่งอะไร และชอบอะไร ไม่มีเป้าหมายในชีวิต โดยเป็น podcast ที่มีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยผสมกัน เมื่อเราได้ฟังแล้วเรารู้สึกชอบเพราะหนึ่งเราอยากพัฒนาทักษะภาษา เราเลยคิดว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อเรียนรู้ได้ และเหตุผลที่สอง ทัศนคติที่พิธีกรและแขกรับเชิญ รวมไปถึงเรื่องราวมันช่างเข้ากับชีวิตเราเหลือเกิน ที่ไม่รู้ว่าเก่งอะไร ชอบอะไร ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ซึ่งสิ่งที่เขานำเสนอออกมามันก็ทำให้เราได้ฉุกคิดในหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทัศนคติ มุมมองของชีวิตที่เราคิดเอาไว้
ทุกคนคงบอกย่อหน้าแรกเธอยังไม่เข้าเนื้อหาของคลิปที่เธอนำเสนอนี้เลยนะ กว่าจะพูดถึงเนื้อหาจะต้องอ่านอีกนานมั๊ย ขอบอกเลยค่ะว่าไม่นานย่อหน้านี้แหละค่ะ เริ่มกันเลยนะคะ!! คือว่าเมื่อวานหลังจากเรากลับจากที่เรียนพิเศษ (ติวสอบงาน) เรายังไม่อยากอาบน้ำนอน เพราะเราขี้เกียจลุกขึ้น เราจึงหาอะไรดูเพลินซึ่งเมื่อเราได้ subscribed ช่องนี้ไว้ คลิปวีดีโอนี้จึงปรากฎขึ้นในหน้าฟีด และสะดุดตากับชื่อคลิป ยืนหนึ่งหนังสือปลอบประโลมใจเหมาะสุดสำหรับคนที่อยากเริ่มหัดอ่านหนังสือเป็นภาษาอังกฤษ ใจเราที่เข้าไปฟัง podcast คำนี้ดี กะตั้งใจไปดูหนังสือที่เขาแนะนำเฉยๆ แต่พอได้ฟังเนื้อหาของหนังสือที่เขาได้นำเสนอ ขอบอกได้เลยว่ามันคุ้มค่ามากๆ มันอาจจะไม่ได้ช่วยเยียวยาได้ในทันทีทันใด แต่พอได้ฟังมันก็รู้สึกว่า เออ มันไม่เป็นไรที่เราจะเป็นแบบนี้และเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า The Comfort Book เขียนโดย Matt Haig เนื้อหาของหนังสือก็ตรงตามชื่อเลยค่ะ มาเพื่อให้เรารู้สึกอ่านแล้วใจไม่เจ็บปวด อาจจะไม่ได้ทำให้สบายขึ้นแต่ไม่ได้ทำให้แย่ลงแน่นอน คืออ่านแล้วใจเราไม่ต้องรู้สึกผิดที่เราเป็นแบบนี้ ซึ่งเนื้อหาบางส่วนที่ผู้เล่าเขาได้นำเสนอมันฟังแล้วทำให้เราอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ รู้สึกเป็นหนังสือจิตวิทยาที่อ่านแล้วไม่ได้รู้สึกแย่หรือผิดที่ไม่ได้พัฒนาตัวเองให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ โดยบทที่เขาได้หยิบมาพูดถึงมีดังนี้ You're the goal คุณคือเป้าหมาย, It's okay มันไม่เป็นไร , The subject in the sentence ประธานของประโยค, To remembet during the bad day จดจำไว้ในวันร้ายๆ, A few don'ts คำขอ 'อย่า'บางอย่าง
แต่ละบทที่ตัวผู้ดำเนินรายการประทับใจที่ได้เลือกมาอ่านให้ฟังนั้น มันทำให้เรายิ่งอยากไปซื้อหนังสือเริ่มนี้มาอ่านบ้างเพราะมันช่างเขียนได้ดีๆจริง แต่ที่ประทับใจเรามากที่สุด และคิดว่าตรงกับเรามากที่สุด คือ บท You're the goal กับประโยคที่ว่า "Love is not something you deserve only if you reach a goal" ความรักมิใช่สิ่งที่ได้มา หลังจากที่คุณคว้าเป้าหมายได้สำเร็จเท่านั้น สาเหตุที่เราประทับใจเพราะตลอดชีวิตของเรามีแต่การตั้งเป้าหมายทำให้สำเร็จแม้สิ่งนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ แต่เมื่อเราลงมือทำเราก็ต้องทำให้ได้ พอคิดแบบนี้ตลอดระยะเวลาการลงมือทำเราจึงไม่เคยมีความสุขเลย
แม้จะจบป.ตรี หรือ ป.โท หรือสอบได้ใบประกาศ เพราะมันยังไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงมันเป็นเพียงแค่ทางผ่าน เราจึงไม่เคยคิดที่จะยินดีกับความสำเร็จของตนเอง หรือมีความสุขไปกับชีวิต และยิ่งตอนนี้เราสอบไม่ได้แน่นอนความรู้สึกที่ตามมา อย่าเรียกว่าตามมาดีกว่าเรียกว่าปรากฎมาอีกครั้ง คือความรู้สึกเกลียดตัวเอง เกลียดที่ตัวเองเป็นคนไม่ประสบความสำเร็จ ทำในสิ่งที่คาดหวังไม่ได้ พอได้ยินประโยคของหนังสือเล่มนี้ มันรู้สึกได้ว่ามันคือการโดนหนังสือฟาดหน้าซะจนหน้าชา 555 เพราะทัศนคติที่หนังสือได้บอกคือ เราควรจะรักตัวเองแม้จะไม่เป็นดั่งที่เราหวังนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำเลย เราจึงเป็นทุกข์อยู่แบบนี้
ส่วนอีกประโยคนึงที่เราประทับใจมากอีกเช่นกันมาจากบทที่มือชื่อว่า It's okay กับประโยคที่บอกว่า "It's okay to like things for literally no reason than because you like them and not because they are cool or clever or popular" ไม่เป็นไรหากคุณจะชอบบางสิ่งโดยไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกจากว่าคุณแค่ชอบมัน ไม่ใช่ว่ามันดูเท่ ดูฉลาด หรือเป็นที่นิยม
สาเหตุที่เราชอบก็เพราะในช่วงที่เรามีความทุกข์ใจแบบนี้ความคิดลบทำงานหนักมาก เรียกได้ว่าเป็นพนักงานดีเด่นกันเลยทีเดียว นอกจากคิดเรื่องตัวเองว่าไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้วยังลามไปถึงสิ่งที่ตัวเองทำอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเขียนเพจ หรือ ทำ podcast โดยเฉพาะคลิปรีวิวหนังสือที่ยอด subscribers จะเพิ่มขึ้นแต่ยอดวิวที่เข้ารับชมกลับน้อยลงเรื่อยๆ แม้เราจะตอบกลับตัวเองได้ว่า เราทำเพราะเราชอบเราอยากทำ แต่ก็มีความคิดที่ว่าทำแล้วไม่มีประโยชน์ ไม่มีคนฟังหรือดูหรือเข้ามาอ่านในเพจ จะทำไปทำไม เอาเวลาไปพัฒนาตัวเองดีกว่ามั๊ย หาอย่างอื่นทำเถอะ งานอดิเรกนี้ควรจบลงซะที
แน่นอนว่าเมื่อเราสลัดความคิดไม่ได้ เราก็ต้องหดหู่แต่แทนที่เราจะไปทำสิ่งที่เราชอบทำพอมีความคิดแบบนี้มันก็เลยขยาดที่จะลงมือทำ แม้กระทั่งอ่านหนังสืออ่านเล่นเรายังไม่อยากอ่าน เพราะถ้าชอบมากเราก็ต้องอยากที่จะเขียนรีวิวบอกทุกคนต่อ แต่พอเราได้ฟังประโยคนี้มันเรียกได้ว่าช่วยยืนหยัดในความคิดด้านบวกของเราว่า เราทำเพราะเราชอบทำ ดังนั้นแม้ทำแล้วไม่มีใครฟัง มันก็ไม่ผิดที่เราจะชอบและทำมันต่อไปเพียงเพราะเราแค่ชอบมันแค่นั้นจบ!!
เราได้ทำการค้น google แล้วนะคะว่าหนังสือเล่มนี้ยังไม่มีการแปลเป็นภาษาไทย เพราะฉะนั้นถ้าใครสนใจก็จะต้องอ่านแบบภาษาอังกฤษเท่านั้น ซึ่งราคาก็จะค่อนข้างสูงเลย แต่เราไปดูใน kinokuniya ครบ 600 บาท ส่งฟรีด้วย ดังนั้นแม้สั่งเล่มเดียวก็ไม่ต้องเสียค่าส่ง แต่ก็ยังลังเลอยู่นะ 🤔 เอาเป็นว่าเรากลับมาพูดถึงเนื้อหาในคลิปกันต่อดีกว่านะคะ เราขอบอกเลยว่าใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงในการฟังเพราะคลิปมีแค่ 23 นาที 13 วินาที แต่มันคุ้มนะที่คุณจะได้ฟังถ้อยคำจากหนังสือที่อาจจะช่วยปรับเปลี่ยนมุมมอง ให้คุณได้เห็นสิ่งที่คุณไม่เคยได้เห็น ไม่แน่ว่าคุณฟังเสร็จอาจจะตัดสินใจซื้อหนังสือทันทีก็เป็นได้ แต่เราว่าอย่างน้อยที่สุดคุณก็ได้รับฟังถ้อยคำดีๆ เหมือนกับชื่อพอดแคส คำนี้ดี แค่นี้ก็คุ้มแล้วค่ะ
#คำนี้ดี #SavageDysthymiaStory
โฆษณา