27 ม.ค. 2022 เวลา 05:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ส่องจีนปีเสือทอง ‘เป็นต่อ’ หรือ ‘เป็นรอง’ แค่ไหน?
1
โดย คุณ นาวิน อินทรสมบัติ
Chief Investment Officer, KAsset
Highlight :
  • การจัดโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งนี้ จะทำให้ทั่วโลกหันมาจับตาเมืองปักกิ่งอีกครั้ง ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าการเป็นเจ้าภาพของจีนในครั้งนี้จะทำได้ดีเพียงใด
  • นโยบาย Zero Covid ทำให้ความทรงจำอันเจ็บปวดของช่วงแรกๆ ของการแพร่ระบาดกลับมาอีกครั้ง จีนจะมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หรือไม่
  • ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะได้ดำรงตำแหน่งผู้นำของจีนต่อเป็นสมัยที่ 3 (รวม 15 ปี)
  • ธนาคารกลางของจีนเปิดปี 2565 ด้วยการแสดงจุดยืนในการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายอย่างชัดเจน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบการเงินสวนทางกระแสโลก
  • ความเสี่ยงเรื่องนโยบายการคุมเข้มต่อภาคธุรกิจจึงยังคงมีอยู่ แต่คาดว่าจะไม่รุนแรงเหมือนที่เกิดขึ้นในปี 2564
ส่องจีนปีเสือทอง
ประเทศจีนถือเป็นหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่นักลงทุนทั้งหลายต่างให้ความสนใจกันเป็นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นจากการบริหารของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
ไปจนถึงการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ของประเทศจีน ถึงแม้จะมีบางช่วงที่เศรษฐกิจในประเทศจีนอาจจะชะลอลงไปบ้างแต่โดยรวมก็ยังถือว่าเป็นประเทศอันดับต้นๆ ที่เราต้องจับตามองต่อไป ในปีนี้มีเรื่องอะไรที่เราต้องรู้ในจีนบ้าง
1.โอลิมปิกฤดูหนาว
การจัดโอลิมปิกฤดูหนาวในช่วงวันที่ 4 - 20 ก.พ.นี้ จะทำให้ทั่วโลกหันมาจับตาเมืองปักกิ่งอีกครั้ง ในฐานะเมืองแรกที่เป็นทั้งเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อนและฤดูหนาว
ซึ่งโอลิมปิกฤดูหนาวในครั้งนี้ถือว่าไม่เหมือนใคร เพราะจะจัดขึ้นภายใต้ระบบปิดแบบบับเบิ้ลที่มีความยาวกว่า 200 กิโลเมตรตลอดการแข่งขันเพื่อจำกัดการติดเชื้อ ซึ่งการจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติที่สำคัญในช่วงการระบาดใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
โดยเฉพาะสำหรับจีนที่มุ่งมั่นดำเนินนโยบาย Zero Covid ยิ่งเพิ่มความท้าทายในการจัดโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งนี้ให้เพิ่มขึ้นไปเป็นเท่าตัว
ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าการเป็นเจ้าภาพของจีนในครั้งนี้จะทำได้ดีเพียงใด
2.ปีที่สามของการอยู่ร่วมกับโควิด - 19
จากการระบาดของไวรัสโควิด - 19 ที่กินเวลายาวนานมาสองปีกว่า ที่ผ่านมาทางการจีนได้ใช้นโยบาย Zero Covid และเพิ่มความเข้มงวดขึ้นเพื่อรับมือในช่วงก่อนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ปักกิ่ง ทำให้ประชาชนในหลายเมืองของจีนต้องเข้าสู่การกักตัวอยู่บ้านติดต่อกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง
แต่นโยบายนี้ยังเป็นข้อกังขาของหลายฝ่ายว่าจะทำได้จริงหรือไม่ และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นก็ดูเหมือนจะไม่พร้อมสำหรับนโยบายที่เข้มงวดนี้
ยิ่งไปกว่านั้นการล็อกดาวน์ครั้งล่าสุดยังได้นำความทรงจำอันเจ็บปวดของช่วงแรกๆ ของการแพร่ระบาดกลับมาอีกครั้ง คนที่อยู่ต่างประเทศก็ยังไม่สามารถกลับบ้านได้
และประชาชนประสบปัญหาการขาดแคลนอาหารและสิ่งของจำเป็น เนื่องจากร้านค้าถูกปิดและยานพาหนะส่วนตัวถูกห้ามใช้ รวมถึงถูกจำกัดการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าจีนจะมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หรือไม่
3.ยุคสมัยที่สามของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
วาระที่สำคัญในการประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 20 (Communist Party's 20th National Congress) ที่จะมีขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ก็คือประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะได้ดำรงตำแหน่งผู้นำของจีนต่อเป็นสมัยที่ 3 (รวม 15 ปี)
ทำให้เขาสามารถรักษาสถานะความเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดในรอบหลายทศวรรษนับตั้งแต่ประธานเหมา เจ๋อตุง
ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี พรรคได้ควบคุมทุกด้านของสังคมอย่างเข้มงวดตั้งแต่ วัฒนธรรม การศึกษาตลอดจนภาคธุรกิจ
แต่ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการเติบโตของเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากรในประเทศนั่นเอง ต้องจับตาดูกันว่าประธานาธิบดีสีจะนำพาประเทศไปสู่เบอร์หนึ่งของโลกได้หรือไม่
4.การดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายสวนทางกับประเทศอื่นๆ
ธนาคารกลางของจีนเริ่มต้นปี 2565 ด้วยการแสดงจุดยืนในการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายอย่างชัดเจน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบการเงิน รวมถึงกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในประเทศ เป็นปัจจัยหนุนการลงทุนในตลาดหุ้นจีน
ในช่วงที่ผ่านมาได้มีการลดดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปี ถึง 2 ครั้ง ในรอบเพียง 2 เดือน และได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีครั้งแรกตั้งแต่เดือนเม.ย. 2563
รวมถึงปรับลดปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภท 1 ปี (Medium-term Lending Facility - MLF) ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนเม.ย. 2563 เช่นกัน
การดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายดังกล่าวนับเป็นแนวทางที่สวนทางกับกระแสโลกที่ดำเนินนโยบายที่เข้มงวดขึ้น เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯจะปรับขึ้นดอกเบี้ยและอาจใช้นโยบาย Quantitative Tightening (QT) ซึ่งเป็นการดึงสภาพคล่องออกจากระบบหลังการสิ้นสุดนโยบาย QE
ทั้งนี้คงต่อจับตาดูกันต่อไป ว่าเกมที่จีนเดินนี้จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้ตามที่ตั้งเป้าหรือไม่
5.การคุมเข้มต่อภาคธุรกิจจะยังคงมีอยู่ แต่ไม่รุนแรงเท่าปีที่ผ่านมา
หลังจากปีที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้ออกกฎหมายเข้าควบคุมภาคธุรกิจต่างๆ ของจีน ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายต่อต้านการผูกขาดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ไปจนถึงการเข้าควบคุมกลุ่มโรงเรียนกวดวิชา
ทำให้เกิดแรงกดดันต่อหุ้นในกลุ่มเหล่านี้ ขณะเดียวกันทางการจีนก็ให้ความสนับสนุนการเติบโตต่อบางกลุ่มที่สอดคล้องกับแผน 5 ปี เช่น กลุ่มพลังงานสะอาด
สำหรับปีนี้ รัฐบาลจีนจะยังคงปรับเปลี่ยนนโยบายหลายๆอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับแผน Common Prosperity ดังนั้นความเสี่ยงเรื่องนโยบายจึงยังคงมีอยู่ แต่คาดว่าจะไม่รุนแรงเหมือนที่เกิดขึ้นในปี 2564
เนื่องจากจีนกำลังเผชิญกับปัญหาในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความอ่อนแอในภาคอสังหาฯ, ด้าน Supply Chain, การขาดแคลนพลังงาน, การใช้นโยบาย Zero Covid และความไม่แน่นอนเรื่องการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ การใช้นโยบายที่รุนแรงอาจกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจได้
อย่างไรก็ดีเราคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่ากลยุทธ์นี้จะทำให้โลกได้เห็นเศรษฐกิจของจีนเติบโตอย่างมีเสถียรภาพควบคู่ไปกับการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนหรือไม่
การลงทุนในหุ้นจีนตอนนี้เป็นอย่างไร
ยังคงมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นจีน แม้จะยังมีความผันผวนเนื่องจากนักลงทุนยังไม่มั่นใจทิศทางการดำเนินนโยบายของภาครัฐ
อย่างไรก็ดี การดำเนินนโยบายที่ผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งระดับราคาหุ้นที่ค่อนข้างต่ำจากราคาที่ลดลงมามากในปีที่แล้ว ประกอบกับพื้นฐานบริษัทที่ยังแข็งแกร่ง ทำให้การลงทุนระยะยาวในจีนยังน่าสนใจเหนือประเทศอื่น
นักลงทุนที่ต้องการเพิ่มน้ำหนักในพอร์ต สามารถทยอยเข้าสะสมเพิ่มเติมได้ เพื่อเฉลี่ยต้นทุน หรือสะสมสำหรับการลงทุนระยะยาวได้ ส่วนนักลงทุนที่มีน้ำหนักหุ้นจีนในพอร์ตการลงทุนมากแล้ว ก็สามารถถือต่อเพื่อรอโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในอนาคตได้
และสำหรับผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นจีน แนะนำกองทุน K-CHINA ลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในประเทศต่างๆทั่วโลก (All China) ที่มีคุณภาพดี เติบโตสูง เน้นหุ้นกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) เช่น กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มลดการปล่อยคาร์บอน กลุ่มอุปโภคบริโภคและสุขภาพ
👉ดูรายละเอียดเกี่ยวกับกองทุนเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3AspjS6
1
📱สนใจลงทุนสามารถเปิดบัญชีกองทุน และซื้อได้เลยง่าย ๆ ผ่านแอปฯ K-My Funds คลิก https://bit.ly/33Gb4xn
#KAsset #KBankLive
โฆษณา