27 ม.ค. 2022 เวลา 15:32 • บันเทิง
8 ฆาตกรต่อเนื่องที่ฉาวโฉ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มีแรงจูงใจอะไรบ้าง?
เพราะทุกอย่างย่อมมีที่มาที่ไป คดีฆาตกรรมก็เช่นเดียวกัน และยิ่งเป็น “คดีฆาตกรรมต่อเนื่อง” ที่เราต่างคิดว่าซับซ้อน ยากจะหาตัวคนร้าย พยายามหาคำตอบว่า “แรงจูงใจ” คืออะไร? วันนี้เราจึงอยากพาทุกคนไปทำความเข้าใจ “บ่อเกิด” แห่งความสูญเสีย
จากการวิจัย “Exploring the Phenomenon of Serial Killing from a Psychological Standpoint” ของ Matthew Silkes ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์สรุปไว้ว่า การทำความเข้าใจฆาตกรต่อเนื่องเป็นเรื่องยากและซับซ้อน ผลพวงจากการกระทำเกิดจาก “ยีน” (ปัจจัยภายใน) และ “สภาพแวดล้อม” (ปัจจัยภายนอก)
กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นนิสัย ยีนที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด หรือการอบรมบ่มเพาะ สังคมรอบตัว ล้วนมีผลต่อการเป็นฆาตกรต่อเนื่องทั้งสิ้น ทว่า การวิเคราะห์ “จิตใจมนุษย์” เป็นเรื่องยากเสมอ จึงเป็นโจทย์ให้พัฒนาและหาลู่ทางการวิจัยแบบใหม่ๆ อยู่ตลอด
เพื่อให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น มาลองดูกันว่า “8 ฆาตกรโลกไม่ลืม” จะมีเหตุจูงใจอะไร แล้วคุณจะเห็นสัญญาน หรือสารบางอย่าง ที่สะท้อนความคิดของฆาตกรออกมา
1.Harold Shipman ฆ่าเอามัน
หนึ่งในฆาตกรที่เลื่องลือที่สุดในประวัติศาสตร์ คร่าชีวิตคนถึง 218 ราย เริ่มก่อคดีฆาตกรรมเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ.1972 ขณะที่เขาทำงานเป็นแพทย์ฝึกหัดในโรงพยาบาล เขาได้เริ่มสังหารผู้คน เพื่อนร่วมงาน ต่างบอกว่าเขาจิตใจโหดเหี้ยม เย่อหยิ่ง และ “มั่นใจในตัวเองสูง”
ค.ศ.1998 สัปเหร่อและแพทย์อีกคนหนึ่งสังเกตเห็นความผิดปกติ ที่สร้างข้อสงสัยในตัวเขา แต่ถึงแม้จะมีเบาะแสเหล่านี้ แต่ตำรวจก็ไม่สามารถจับเขาได้จังๆ เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ
โชคของ Shipman หมดลงในที่สุด เมื่อลูกสาวของเหยื่อรายสุดท้าย อ้างว่าเขาไม่เพียงฆ่าแม่ของเธอ แต่ยังทำสัญญาปลอมขึ้นมา โดยตั้งชื่อให้เขาเป็นผู้รับผลประโยชน์เพียงคนเดียว และแม่ของเธอ ก็ไม่ได้ถูกเผาเหมือนเหยื่อรายก่อนๆ และการชันสูตรพลิกศพพบว่ามีมอร์ฟีนระดับสูง (ซึ่งเป็นยาที่ Shipman ใช้ในการสังหารส่วนใหญ่) เขาถูกตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการในข้อหาฆาตกรรม 15 คดี และถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในปี ค.ศ.2000
ในปี ค.ศ.2004 เขาจึงฆ่าตัวตายในห้องขัง
2. Belle Gunness ฆ่าเอาเงินประกัน
ผู้หญิงที่กลายเป็นที่รู้จักในนาม “Lady Bluebeard” อพยพจากนอร์เวย์มายังเมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐฯ ในปี ค.ศ.1881
ซึ่งเธอได้แต่งงานกับเพื่อนชาวนอร์เวย์ ทั้งคู่มีลูกสี่คน (สองคนเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก) และเปิดร้านขายขนม ปีค.ศ.1900 วันหนึ่ง ร้านค้าถูกไฟไหม้อย่างลึกลับ ทำให้สามีเธอเสียชีวิต โดยการสูญเสียครั้งนี้ทำให้เธอสามารถเก็บเงินจากกรมธรรม์ประกันภัยได้หลายฉบับ ทำให้เธอมีเงินซื้อฟาร์มในรัฐอินเดียนา
หลังจากนั้น เธอแต่งงานใหม่อย่างรวดเร็ว แต่แล้วอีกแปดเดือน สามีคนที่สองของเธอก็เสียชีวิต เธออ้างว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกน้ำร้อนลวกและถูกเครื่องบดเนื้อทุบที่ศีรษะ
ในระหว่างการสอบสวน ไม่มีหลักฐานที่น่าสงสัย ซึ่งทำให้เธอได้รับเงินประกันอีกมหาศาล
จากนั้นเธอก็เริ่มลงโฆษณาทางหนังสือพิมพ์เพื่อมองหาสามีคนที่สาม โดยกำหนดให้ผู้มีโอกาสเป็นคู่ครองต้องไปเยี่ยมชมฟาร์มในรัฐอินเดียนาของเธอ คู่ครองที่คาดหวังหลายคนออกไปพบกับเธอ และ “หายไป” ตลอดกาล
ไม่มีใครรู้ว่าเธอฆ่าคนไปกี่คน มีเพียงรู้ว่าเธอต้องพบกับจุดจบที่น่าสยดสยอง
เดือนกุมภาพันธ์ ปีค.ศ. 1908 ได้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ในฟาร์มแห่งหนึ่งที่เธอเป็นเจ้าของ ท่ามกลางซากปรักหักพัง มีร่างไร้วิญญาณลูกๆ ของเธอ และร่างของเธอ ที่ปราศจากหัว
แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะระบุว่าซากศพเป็นของกันเนส แต่ก็มีข้อสงสัยว่าร่างที่พบมีขนาดเล็กกว่าร่างของเธอ การค้นหาศีรษะที่หายไปของเธอ ก็นำไปสู่การค้นพบอันน่าสะพรึง เพราะเจ้าหน้าที่ได้พบกับศพอีกเกือบสิบร่าง ซึ่งมีทั้งคู่ครองที่หายไปและเด็กหลายคน ส่วนสาเหตุของการเหตุการณ์ไฟไหม้ เกิดจากคนงานเก่าในฟาร์มที่เธอเคยไล่ออกเมื่อปีก่อน นั่นจึงทำให้เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานลอบวางเพลิงเท่านั้น
3.Ed Gein ฆ่าสร้าง “ของ”
.
คดีอันโด่งดังนี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับหนังเรื่อง Psycho, Silence of the Lambs และ The Texas Chain Saw Massacre เขาเติบโตมาในพื้นที่ห่างไกลในรัฐวิสคอนซิน พื้นเพครอบครัว เป็นลูกที่ถูกทารุณกรรมจากพ่อติดเหล้า และแม่ที่ปลูกฝังอยากให้ลูกชายกลัวผู้หญิงและ LGBTQ+
เมื่อพ่อ พี่ชาย และแม่ของเขาเสียชีวิต เขาถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในฟาร์มของครอบครัว
สิบสามปีต่อมา ตำรวจท้องที่มาถึงฟาร์ม ตามคำแจ้งความว่า Bernice Worden เจ้าของร้านฮาร์ดแวร์หายตัวไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา เจ้าหน้าที่ได้ตรวจค้นบ้านพัก และพบกับศพหัวขาดของ Worden ที่ห้อยลงมาในบ้านของเขา
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังพบกับชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์ ที่กลายเป็นของใช้ในครัวเรือน เช่น เก้าอี้และชาม โดยสิ่งของที่น่าสยดสยองเหล่านี้ ส่วนใหญ่มาจากศพที่ Gein ขโมยมาจากหลุมศพ
จากการกระทำที่โหดร้าย ผิดมนุษย์มนา ทำให้เขาถูกวินิจฉัยว่าเป็นคนวิกลจริต และศาลมีคำสั่งให้เขารักษาตัวในโรงพยาบาลจิตเวช
4. John Wayne Gacy ฆ่าแล้ว “เก็บ”
เปลือกนอกของเขา เป็นคนที่เป็นมิตร
เป็นอาสาสมัครในเมืองท้องถิ่น และมักแสดงเป็นตัวตลกในงานปาร์ตี้ เพื่อเรียกเสียงหัวเราะจากเด็กๆ แต่หารู้ไม่ว่าภายใต้หน้ากากที่แสนดี เกซี่เคยถูกตั้งข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็ก
ปีค.ศ.1978 ตำรวจพบว่าเกซี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเด็กชายอายุ 15 ปี เมื่อตรวจค้นบ้าน เจ้าหน้าที่ก็ได้พบแหวนและเสื้อผ้าของเด็กชาย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็เจอกับเหตุการณ์อันน่าตกใจ เมื่อพบศพเน่าเปื่อยของเด็กชายและวัยรุ่น 29 คนซึ่งเกซี่ข่มขืนและสังหาร
นอกจากนี้ เขายังสารภาพว่า ยังมีศพบางส่วนถูกทิ้งไว้ที่ก้นทะเลสาบใกล้เคียง สิ่งที่เขาทำ ทำให้เขาถูกตัดสินลงโทษในข้อหาฆาตกรรม 33 กระทงและถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษในปี ค.ศ.1994
5.Jeffrey Dahmer ฆ่าโหด โฉดวิปริต
ดาห์เมอร์ก่อเหตุฆาตกรรมครั้งแรกในปี ค.ศ.1978 ขณะอายุเพียง 18 ปี
จนกระทั่งถูกจับกุมในปี ค.ศ.1991 รัฐวิสคอนซิน หลังจากที่ชายแอฟริกันอเมริกันคนหนึ่งรอดพ้นจากเงื้อมมือของเขา
เมื่อเหยื่อนำตำรวจกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ของฆาตกร พวกเขาพบรูปถ่ายศพที่แยกชิ้นส่วน หัว และอวัยวะเพศชายถูกตัดขาดอีกหลายราย อ่างล้างมือเต็มไปด้วยกรดที่ดาห์เมอร์เคยใช้ปลิดชีพเหยื่ออีก 17 ศพ
ย้อนกลับไปสามปีก่อนถูกจับกุม หลังจากดาห์เมอร์ลาออกจากวิทยาลัยและกองทัพบก เขาอาศัยอยู่กับสมาชิกในครอบครัวหลายคน ต่อมา ถูกยายไล่ออกจากบ้าน จึงตัดสินใจตั้งรกรากในอพาร์ตเมนต์ในรัฐวิสคอนซิน
ซึ่งเขาเคยถูกตัดสินลงโทษในข้อหาวางยาและล่วงละเมิดทางเพศเด็ก
หลังจากรับใช้ชาติได้เพียงปีเดียว ก็ได้รับการปล่อยตัวและยังคงดื่มสุราอย่างต่อเนื่อง
รายละเอียดการพิจารณาคดี มีการระบุว่าเขา “กิน” ส่วนต่างๆ ของร่างกายเหยื่อ
และถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรค Necrophilia (โรคทางจิตเวชชนิดรุนแรง) ซึ่งผู้ป่วยมีลักษณะชอบ “ร่วมรักกับศพ” ปีค.ศ.1992 ดาห์เมอร์ถูกตัดสินจำคุก 957 ปี แต่ถูกเพื่อนนักโทษฆ่าตายหลังจากถูกขังเพียงสองปี
6.Ted Bundy “ลัก” ไปฆ่า
บันดี้ ชายผู้ทรงเสน่ห์ เรียนเก่ง ใครๆ ก็ชื่นชอบ แต่เบื้องหลังของความเพอร์เฟกต์นี้ เขาเป็นถึงฆาตกรต่อเนื่องที่โหดสุดๆ บันดี้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน และเริ่มลงมือก่อคดีฆาตกรรมอย่างสนุกสนาน
คดีแรกของ เกิดขึ้นในซีแอตเทิลปีค.ศ.1966 โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเด็กและวัยรุ่น บันดี้ได้ก่อเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องทั่วแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ เขาเดินทางต่อไปยังยูทาห์และโคโลราโด สังหารผู้หญิงอีกหลายคนก่อนถูกจับ
และสุดท้าย บันดี้ก็ถูกจับในข้อหาฆาตกรรม ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าในปีค.ศ.1989 ซึ่งไม่มีใครทราบจำนวนที่แท้จริงของเหยื่อ
7.Jack the Ripper ฆ่าแล้ว “ชำแหละ”
ค.ศ.1888 ประเทศลอนดอน เขาถูกจับในฐานะฆาตกรต่อเนื่อง เขาทำการล่อลวงโสเภณี ก่อนที่จะกรีดคอและกรีดร่างกายเหยื่อด้วยมีดแกะสลักอย่างซาดิสม์ แถมยังยังส่งจดหมายท้าทายไปยังสำนักงานตำรวจนครบาลลอนดอน
หลังจากจัดการกับเหยื่อรายสุดท้ายในเดือนพฤศจิกายน ฆาตกรกลับหายตัวไป จนในที่สุดคดีนี้ก็ปิดตัวลงในปีค.ศ.1892
8.H.H. Holmes ฆ่าเอาไปเป็น “หนูทดลอง”
โฮมส์ มีอาชีพเป็นนักต้มตุ๋นในคราบพนักงานขายประกัน ก่อนที่จะผันตัวไปทำงานเป็นเภสัชกรในอิลลินอยส์ และสถานที่แห่งนั้นก็เป็นสถานที่ที่เขาใช้ก่อเหตุ
เขาได้เช่าโรงแรมสามชั้น นำมาใช้เป็นห้องทรมาน บางห้องมีช่องตาแมวซ่อนอยู่ มีท่อแก๊ส ประตูกับดัก และวัสดุบุฉนวนกันเสียง ในขณะที่ห้องอื่นๆ มีทางเดินลับ บันได และโถงทางเดิน มีรางน้ำมันที่นำไปสู่ห้องใต้ดิน ภายในห้องติดตั้งโต๊ะผ่าตัดและเตาเผา
เขานำเหยื่อจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่เป็นหญิงสาว บังคับให้พวกเธอเข้าไปในสถานที่ปิด เพื่อทำให้ขาดอากาศหายใจด้วยก๊าซพิษ และพาเหยื่อไปห้องใต้ดินเพื่อทำการทดลองอันน่าสยดสยอง จากนั้นเขากำจัดศพด้วยเตาหลอม หรือถลกหนังและขายโครงกระดูกให้กับโรงเรียนแพทย์
จนในที่สุดเขาก็ถูกจับ เมื่อหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดของเขาแจ้งตำรวจ เขาถูกตัดสินความผิดฐานฆาตกรรมเหยื่อ 4 ราย แต่ที่น่าตกใจคือ เขาสารภาพว่าได้ทำการสังหารเหยื่ออีกอย่างน้อย 27 คน และหลังจากนั้น จึงถูกตัดสินโทษให้แขวนคอ
จะเห็นได้ว่า แต่ละคน ต่างมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน อันเป็นเหตุมาจากการเลี้ยงดูในตอนเด็ก สภาพแวดล้อม ปมฝังใจที่สร้างรอยแผลไว้ให้กับพวกเขา และทำให้เขากลายเป็นฆาตกร เราสามารถถอดบทเรียนจากอดีต เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิด และสร้างเกราะป้องกันให้กับตนเอง เพราะสังคมดีไม่ได้เริ่มที่ผู้คน แต่ผู้คนจะดีต้องเริ่มที่สังคม
อ้างอิง:
#missiontopluto
#missiontoplutopodcast
#crime
#psychology
โฆษณา