29 ม.ค. 2022 เวลา 02:00 • กีฬา
แฟนบอลหลายๆคนคงจะจำวีรกรรมสุดเกรียนแตกของ มาริโอ บาโลเตลลี่ ทั้งในและนอกสนามกันได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะกับเฮดโค้ชอย่าง โรแบร์โต้ มันชินี่ สมัยที่ยังค้าแข้งอยู่กับแมนซิตี้ มีเรื่องกับตำนานอย่าง ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ การเอาถังดับเพลิงไล่ฉีดผู้หญิง รวมไปถึงการที่เจ้าตัวจุดพลุภายในบ้านจนไฟเกือบจะเผาบ้านตัวเอง แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วถ้าหากตัดเรื่องวีรกรรมสุดเกรียนออกไป บาโลเตลลี่เองิีก็เป็นหนึ่งในนักเตะที่จัดได้ว่ามีพรสวรรค์คนหนึ่ง มีรางวัลติดตัวมากมายไม่ว่าจะเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของลีกอังกฤษและลีกอิตาลี นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในนักเตะที่อยู่ในยุครุ่งโรจน์ของอินเตอร์ มิลาน คว้าทริปเปิ้ลแชมป์กับทีม และครั้งหนึ่งยังเคยเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองของทีมชาติอิตาลี่จนถึงขึ้นที่ได้รับรางวัล Golden Boy หรือว่ารางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำปี
หลังจากที่หายหน้าหายตาไปจากทีมชาติอิตาลี่อยู่พักใหญ่ เพราะว่ามีทั้งอาการบาดเจ็บรบกวนและปัญหาหลายอย่าง เขาสามารถเรียกฟอร์มเก่งกับทีมอย่าง Adana Demirspor ทีมน้องใหม่ที่พึ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาบนลีกสูงสุดตุรกี ลงสนามในลีกไป 19 นัด ยิง 8 ประตู ทำ 3 แอสซิสต์ จน โรแบร์โต้ มันชินี่ กุนซือของขุนพลแชมป์ยูโรปีล่าสุดที่คุ้ยเคยกับเขาตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น ก็ได้เรียกเขากลับมาติดทีมชาติอิตาลี่อีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2018 วันนี้เราจะพามาย้อนดู 10 ไทม์ไลน์สำคัญของชายที่มีพรสวรรค์และความเกรียนแตกมากที่สุดคนนึงในโลกลูกหนัง
1
1. เล่นลีกสูงสุดครั้งแรก
มาริโอ บาโลเตลลี่ ในวัย 17 ปี ลงเล่นในลีกสูงสุดอิตาลี่อย่าง กัลโช่ เซเรียอา โดย มันชินี่ ซึ่งตอนนั้นเป็นโค้ชให้กับ อินเตอร์ มิลาน ส่งเขาลงสนามเป็นตัวสำรอง ในแมตช์ที่พบกับ กายารี่ ฤดูกาลแรกกับ อินเตอร์ มิลาน ในฤดูกาล 2007/08 เขาลงเล่นในเซเรียอาไปทั้งหมด 11 นัด ทำไป 3 ประตู และ ลงเล่นรวมทุกรายการ 15 นัด ทำ 7 ประตู มีผลงานที่น่าจดจำคือ ยิง 2 ประตูใส่ยูเวนตุส ในศึก โคปปา อิตาเลีย โดยที่ อินเตอร์ มิลาน ในปีนั้นสามารถคว้าสคูเต็ดโต้มาครองได้และเป็นรองแชมป์ โคปปา อิตาเลีย
1
ในฤดูกาล 2008/09 เขาเริ่มสร้างชื่อเสียงได้กับ อินเตอร์ มิลาน มากขึ้น โดยเขาลงเล่นในเซเรียอาฤดูกาลนี้ไปทั้งหมด 22 นัด ทำไป 8 ประตู ลงเล่นรวมทุกรายการ 31 นัด ทำ 10 ประตู ได้แชมป์เซเรียอาเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน แต่วีรกรรมความเกรียนของเขาก็เริ่มเป็นที่โจษจันของแฟนบอลเหมือนกัน ในฤดูกาลนี้เขาโดยใบเหลืองในลีกมากถึง 7 ใบ ทั้งๆที่ตัวเขาเองเล่นในตำแหน่งกองหน้า
บาโลเตลลี่กับอินเตอร์ มิลาน
2. หนึ่งในขุนพล อินเตอร์ มิลาน ยุคทริปเปิ้ลแชมป์
1
ฤดูกาล 2009/10 เป็นหนึ่งในฤดูกาลที่แฟนงูใหญ่หลายคนจดจำได้ดี ฤดูกาลนี้อินเตอร์ภายใต้การคุมทีมของกุนซือมากฝีมืออย่าง โจเซ่ มูริญโญ่ คว้าแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 5 ติดต่อกันและ ชนะโรม่าได้แชมป์ในศึกโคปปา อีตาเลีย รวมถึงเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยใหญ่ของยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีกส์ ทำให้อินเตอร์สามารถคว้าถ้วยนี้มาครองเป็นสมัยที่ 3 และทำสถิติเป็นทีมจากลีกอิตาลี่ทีมเพียงทีมเดียวที่คว้า ทริปเปิ้ลแชมป์ได้
สถิติส่วนตัวของเกรียนโอ้เขาลงเล่นในเซเรียอาไปทั้งหมด 26 นัด ทำไป 9 ประตู 6 แอสซิสต์ ลงเล่นรวมทุกรายการ 40 นัด ทำไป 11 ประตู กับ 9 แอสซิสต์ และที่สำคัญคือเขาสามารถทำประตูได้ทั้ง 3 รายการที่ทีมงูใหญ่ได้แชมป์จนทำให้เจ้าตัวคว้ารางวัล Golden Boy ของปี 2010 ไปครอง
1
บาโลเตลลี่กับถ้วยบิ๊กเอียร์
3. ย้ายมาพรีเมียร์ลีก
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งพึ่งถูก Take Over โดยกลุ่มทุนจากซาอุดิอาระเบีย กำลังสร้างทีมใหม่ด้วยเม็ดเงินสนับสนุนมหาศาล มาริโอ บาโลเตลลี่ เป็นหนึ่งในนักเตะที่หลายๆทีมให้ความสนใจ และเป็นแมนซิตี้เป็นทีมที่กล้าทุ่มเงิน 20 ล้านยูโร ซื้อเกรียนโอ้ไปร่วมทัพ เป็นการโคจรมาร่วมงานกันครั้งที่ 2 ของเขากับ มันชินี่ ในช่วงครึ่งฤดูกาลแรกเขาต้องไปเข้ารับการผ่าตัดหัวเข่า และอาการบาดเจ็บที่เข่าทำให้พลาดลงสนามไปหลายนัด แต่สถิติส่วนตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่าอบผ่าน เขาลงเล่นใน Premier League ฤดูกาลนี้ไปทั้งหมดเพียง 17 นัด ทำไป 6 ประตู ลงเล่นรวมทุกรายการ 28 นัด ทำไป 10 ประตู
มีโมเม้นต์ที่น่าจดจำ คือ เขาทำแฮททริกครั้งแรกในชีวิตได้สำเร็จในแมตช์พบกับแอสตัน วิลล่า และ ปีนี้เอง แมน ซิตี้ คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาครองได้ โดยนี่เป็นแชมป์เมเจอร์แรกในรอบ 35 ปี ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ความเกรียนของเขาก็ไม่ได่หย่อนลดยังเหมือนเดิม ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เขาโดนใบเหลืองไป 7 ใบ กับ ใบแดงอีก 1 ใบ
บาโลเตลลี่ย้ายมาแมนเชสเตอร์ ซิตี้
4. คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับแมนซิตี้
เป็นฤดูกาลที่ ซูเปอร์มาริโอ โชว์ได้ดีฟอร์มดีที่สุดก็ว่าได้ เขาสามารถลงเป็นตัวหลักกับแมนซิตี้ได้อย่างต่อเนื่อง เขาลงเล่นในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ไปทั้งหมด 23 นัด ทำไป 13 ประตู ลงเล่นรวมทุกรายการ 32 นัด ทำไป 17 ประตู มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของทีม เขาทำมีส่วนร่วมกับประตูสำคัญคือ เป็นผู้ซัด 2 ประตูแรกในแมตช์ แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ที่แมนซิตี้ บุกไปชนะ แมนยู ถึง Old Trafford 6-1 พร้อมกับฝากโมเม้นต์ความเกรียนถอดเสื้อโชว์ข้อความ Why Always Me ? พร้อมกับทำหน้านิ่งๆ ฝากไว้ในโรงละครแห่งความฝัน
และอีกหนึ่งความทรงจำที่แฟนฟุตบอลทั่วโลกไม่มีวันลืม คือ การจ่ายให้ เซอร์จิโอ กุน อเกวโร่ ยิงใประตูชัยใส่คิวพีอาร์ในนัดสุดท้ายของพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2011/12 หรือเหตุการณ์ที่เสียงพากย์ชื่อ Aguerooo ลั่นสนามเอติฮัด สเตเดียม ในนาที่ 93.20 ส่งผลให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปาดหน้าคู่อริร่วมเมืองคว้าแชมป์ไปแบบสุดดราม่า เพราะเกมกำลังจะจบด้วยสกอร์ 2-2 อยู่แล้ว ถ้าผลเสมอจะส่งผลให้แมนยูเป็นแชมป์ทันที แต่เหมือนเทพีแห่งโชคชะตาจะอยากให้แมนซิตี้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกมากกว่า โดยถือว่าถ้วยพรีเมียร์ลีกเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษในรอบ 44 ปี ของทีมเรือใบสีฟ้า เท่านั้นยังไม่พอลูกแอสซิสต์ที่เขาจ่ายให้ อเกวโร่ ซัดประตูชัยเป็นแอสซิสต์เดียวของเจ้าตัวในซีซั่นนั่นอีกด้วย
ไฮไลท์แมตช์ Man City 3-2 QPR (Balotelli Assist นาทีที่ 19.16)
บาโลเตลลี่ ยิงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
5. ได้รองแชมป์และเป็นดาวซัลโวร่วมฟุตบอลยูโร 2012
ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมกับสโมสรในฤดูกาล 2011/12 ทำให้ มาริโอ บาโลเตลลี่ มีชื่อติดทีมชาติอิตาลี่ไปลุยศึกฟุตบอลยูโร 2012 และแล้วเขาก็ไม่ทำให้โค้ชผิดหวัง เขาทำไปทั้งหมด 3 ประตู เป็นดาวซัลโวร่วมของรายการโดยทำ 1 ประตู ในแมตช์ชนะไอร์แลนด์ 2-0 ในรอบแบ่งกลุ่ม และแมตช์ซึ่งเป็นที่จดจำของหลายคน คือ แมตช์ที่เขาเหมาคนเดียว 2 ประตูในรอบรองชนะเลิศที่ โดยที่ผู้รักษาประตูของทีมชาติเยอรมนีในตอนนั้นคือหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในยุคนี้อย่าง มานูเอล นอยเออร์ แต่น่าเสียดายที่รอบชิงชนะเลิศอิตาลี่ ต้องแพ้ กระทิงดุ สเปน แชมป์เก่าฟุตบอลยูโร 2008 ไปแบบขาดลอย 0-4 เรียกได้ว่านี่อาจเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ซูเปอร์มาริโอเปลี่ยนเป็นอีกคนนึงเลยก็ว่าได้
1
บาโลเตลลี่ทำ 2 ประตู ใส่ทีมชาติเยอรมนี
6. Zidane Turn
หลังจากจบศึกฟุตบอลยูโร 2012 แมนซิตี้มีโปรแกรมอุ่นเครื่องที่สหรัฐอเมริการ โดยในวันนั้นเรือใบสีฟ้ามีแมตช์กระชับมิตรกับ แอลเอ กาแลคซี บาโลเตลลี่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงและได้โชว์ชอร์ตเด็ดช็อกไปทั้งโลกเมื่อเขาได้หลุดเดี่ยวไปดวล 1-1 กับผู้รักษาประตู แทนที่เขาจะยิงแบบปกติ แต่ว่าเขากลับโชว์ท่า Zidane Turn หลอกทั้งผู้รักษาประตู เพื่อนร่วมทีม และแฟนบอลในสนาม
ถึงขนาดที่ทำให้มันชินี่ถึงกับต้องเปลี่ยนตัวเขาออกจากสนามเลยทีเดียว เรียกได้ว่าการโชว์ท่า Zidane Turn ช๊อตนั้นของบาโลร์เตลลี่กลายเป็นคลิปที่เป็นไวรัลตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบันนี้ หลังจากกับกลับจากการทัวร์ที่สหรัฐอเมริกา ศึกพรีเมียร์ลีกก็ได้เริ่มขึ้น โดยเหล่า Cityzen ก็คาดหวังว่าซูเปอร์มาริโอจะสานต่อฟอร์มที่ดีจากฤดูกาลก่อนได้ แต่ว่าในความเป็นจริงฟอร์มของเขากลับไม่ได้ดีอย่างที่คาดหวังไว้ โดยครึ่งฤดุกาลแรกลงสนามไป 14 นัด ทำไป 1 ประตู ทำให้แมนซิตี้ตัดสินใจขายให้ เอซี มิลาน 24 ล้านยูโร ในตลาดหน้าหนาว
คลิปเหตุการณ์ Zidane Turn https://www.youtube.com/watch?v=Ea6t_FCQ6Vc
บาโลเตลลี่ถูกเปลี่ยนตัวออก
7. คืนฟอร์มเทพกับมิลาน
เมื่อได้ย้ายกลับมาประเทศบ้านเกิดอีกครั้งในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังในเซเรียอาเขาลง 13 นัด ยิงไป 12 ประตู นอกจากนี้ในปีถัดมาเจ้าตัวยังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง ในฤดูกาล 2013/14 เกรียนโอ้เป็นดาวซัลโวประจำทีมมิลาน ยิงในลีกไปถึง 14 ประตู รวมทุกถ้วยทุกรายการแล้วเจ้าตัวกดไป 18 ประตู
2
บาโลเตลลี่กับเอซี มิลาน
8. ตัวแทน หลุยซ์ ซัวเรช
ในตอนนั้นลิเวอร์พูลที่กำลังตามหาตัวแทนของ หลุย ซัวเรซ ที่ถูกขายให้
บาร์เซโลน่าไป และแบรนเดน รอดเจอร์ส ผู้จัดการทีมของหงส์แดงในตอนนั้นได้เล็งเป้าไปที่ บาโลเตลลี่ โดยตั้งความหวังไว้ว่าจะเป็นตัวแทนของกองหน้าที่ดีของซัวเรซได้ ลิเวอร์พูลจึงยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินซื้อเกรียนโอ้กลับมาในศึกพรีเมียร์ลีกด้วยค่าตัว 27 ล้านยูโร
แต่ว่าในฤดูกาล 2014/15 เกรียนโอ้โชว์ฟอร์มในถิ่นแอนฟิลด์ได้อย่างน่าผิดหวังยิงในลีกไปเพียง 1 ประตู ทุกรายการรวมแล้ว 4 ประตู นับว่าเป็นหนึ่งในการซื้อตัวที่น่าผิดหวังครั้งหนึ่งที่สุดในลิเวอร์พูลเลยก็ว่าได้หลังจากที่โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าผิดหวังลิเวอร์พุลได้ตัดสินใจปล่อยตัวบาร์โล ให้ เอซี มิลาน ยืมในฤดูกาล 2015/2016 แต่ว่าการกลับมาปีศาจแดงดำรอบนี้ไม่เหมือนครั้งแรก เมื่อเกรียนโอ้ยิงได้เพียง 1 ประตูในกัลโช่ เซเรียอา และมีใบเหลืองติดตัว 6 ใบ ในทั้งซีซั่น เหมือนเป็นกองหน้าตัวตัดเกมของทีมเสียมากกว่า
บาโลเตลลี่กับลิเวอร์พูล
9. เรียกฟอร์มเก่งกับนีช
เมื่อเสร็จสิ้นการยืมตัวกับมิลาน ลิเวอร์พูลตัดสินใจขายกองหน้าผู้นี้ให้กับนีชด้วยราคาขาดทุนเพียง 6 ล้านยูโร ชีวิตของซูเปอร์มาริโอเหมือนกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง เมื่อยิงในลีกเอิง 15 ประตู รวมทุกรายการทำไป 17 ประตู และในซีซั่น 2017/2018 เจ้าตัวยังคงสานต่อฟอร์มได้ดีอย่างต่อเนื่อง ทำไปมากถึง 18 ประตูในลีกเอิง จากการลงสนาม 28 นัด ทำประตูทุกรายการ 26 ประตู เป็นดาวซัลโวประจำทีม Nice 2 ฤดูกาลติดต่อกัน เรียกได้ว่าเป็นความหวังของแฟนบอลนีชเลยก็ว่าได้ แต่เจ้าตัวคงเอกลักษณ์ไว้เหมือนเดิมเมื่อโดนใบเหลืองจากทุกรายการมากถึง 15 ใบ มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของทีม หลังจากโชว์ฟอร์มได้ดีกับนีชทำให้ซูเปอร์มาริโอถูกเรียกกลับมาติดทีมชาติอิตาลีในปี 2018 กลับมาติดทีมชาติเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2014
บาโลเตลลี่กับนีซ
10. ชีวิตรถไฟเหาะ
หลังจากที่โชว์ฟอร์มได้ดีมา 2 ปีติด ปีถัดมากับนีช 2018/19 เกรียนโอ้ฟอร์มตกลงอย่างน่าใจหาย เมื่อลงสนามไป 10 นัด ทำไม่ได้เลยซักประตู ก่อนที่จะถูก นีช ปล่อยตัวออกจากทีมในช่วงตลาดหน้าหนาว เนื่องจากมีปัญหาผู้จัดการทีมในตอนนั้นอย่าง พาทริค วิเอร่า และกลายเป็นนักเตะพเนจรที่อยู่กับแต่ละทีมได้เพียงปีเดียว ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังเจ้าตัวย้ายไปในรูปแบบยืมตัวกับมาร์กเซย ลง 15 นัด ยิง 8 ประตู ถือว่าทำผลงานได้ไม่เลวเลย แต่ว่าเมื่อมาร์กเซยเปลี่ยนโค้ชจากรูดี้ การ์เซีย เป็น อังเดร วิลลาส โบอาส เหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่อยู่ในแผนการทำทีมของโบอาส ทำให้ในซีซั่นถัดมาเจ้าตัวต้องย้ายกลับไปเล่นทีมในลีกบ้านเกิดให้กับอย่างเบรสเซียซึ่งในการกลับมาเซเรียอาครั้งนี้เจ้าตัวก็ยังโชว์ฟอร์มเก่งไม่ได้มากนัก ลงสนามไป 19 นัด ยิง 5 ประตู
แต่ว่าเจ้าตัวก็ยังคงความเกรียนไว้เหมือนเดิม เมื่อเกรียนโอ้อยู่ดีไม่ว่าดีก็ปฏิเสธการซ้อมกับทีมไปซะอย่างงั้น โดยเจ้าตัวอ้างว่ามีอาการป่วย สื่ออย่าง The mirror รายงานว่ามีนักข่าวไปสัมภาษณ์เกรียนโอ้และเจ้าตัวบอกกลับมาว่าไม่ต้องการฝึกซ้อมร่วมกับทีมแล้ว ทำให้เกิดการยกเลิกสัญญากันเกิดขึ้น หลังจากเหตุการณ์นี้เจ้าตัวไม่มีทีมเล่นอยู่หลายเดือน จนกระทั่งทีมอย่างมอนซ่าในศึก เซเรีย บี ลีกรองของอิตาลี่ได้เซ็นนสัญญาคว้าตัวเขามา 7 เดือน แต่ว่าเกรียนโอ้ไม่สามารถพามอนซ่าขึ้นสู่เซเรียอาได้ทำให้ทางสโมสรไม่ต่อสัญญากับเขา และในฤดูกาลนี้เจ้าตัวได้ย้ายมาเล่นในทีมน้องใหม่ลีกตุรกีกับ Adana Demirspor คืนฟอร์มยิง 9 ประตู จาก 21 นัดในทุกรายการ จนทีมชาติอิตาลี่ต้องเรียกเขากลับมาแก้ปัญหาจากการขาดแคลนกองหน้า
รายชื่อผู้เล่นทีมชาติอิตาลี่ที่ถูกเรียกเก็บตัวล่าสุด
ถึงแม้ในช่วงชีวิตหลังของ บาโลเตลลี่ จะพลิกผันไปมากมาย และก็ยังไม่รู้แน่นอนว่าในอนาคตชีวิตของเขาจะเป็นเช่นไร แต่เชื่อว่าแฟนฟุตบอลหลายๆคนก็อยากที่จะเห็นศูนย์หน้าจอมเกรียนผู้นี้กลับมาโชว์ฟอร์มได้ดีอีกครั้งและก็เชื่อเช่นกันว่าหลายคนอยากจะเห็นวีกรรมสุดเกรียนของชายผู้นี้อีกแน่นอน
References
ขอบคุณรูปภาพ Photo Credit
Instagram Official Page Mario Balotelli https://www.instagram.com/mb459/?hl=th
Official Website Inter Milan https://www.inter.it/en
Official Website UEFA https://www.uefa.com
Official Website Premier League https://www.premierleague.com
Youtube Official Channel Manchester City https://www.youtube.com/channel/UCkzCjdRMrW2vXLx8mvPVLdQ
Youtube Official Channel MLS
Facebook Official Page AC Milan
Facebook Official Page Liverpool https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC/?
brand_redir=67920382572
Facebook Official Page UEFA Euro https://www.facebook.com/EURO2024
Facebook Official Page OFC Nice
Facebook Adana Demirspor
Facebook Italy National Team https://www.facebook.com/NazionaleCalcio
โฆษณา