30 ม.ค. 2022 เวลา 13:33 • สิ่งแวดล้อม
กรอบมาตรฐานอาคารเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
การเจริญทางวัตถุก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว สนองความหิวอยากของมนุษย์ที่นับวันจะเพิ่มทวีมากขึ้น กล่าวได้ว่าเกือบครึ่งโลกมีสภาพเป็นเมือง คำว่าเมืองที่สะท้อนภาพถึงสถานที่อันแออัด เต็มไปด้วยตึกสูง รถติดและมลพิษ อันเป็นสัญลักษณ์ของคำว่าเมืองในสมัยนี้ สมัยที่ผู้คนต่างเรียกกันว่า “เจริญ” รุกหน้า
แต่ก็แปลกที่หันไปทางไหนก็มีแต่ความไม่พอในปัจจัยของการดำรงชีพ ตั้งแต่อาหารไม่พอ ที่อยู่อาศัยไม่พอ เสื้อผ้าไม่พอ ยารักษาโรคหรือการสาธารณสุขไม่พอ ทั้งไม่พอตามความต้องการและไม่พอในมาตรฐานตามที่ควรจะเป็น
งานวิจัยกล่าวว่ากว่า 70 เปอร์เซ็นของมลพิษทางอากาศมาจากสภาพความเป็นเมือง และจากโครงสร้างอาคารและการบริหารจัดการอาคารกว่า 38 เปอร์เซ็น
หลากภาคส่วนกำลังเร่งดำเนินการหาแนวทางปรับเปลี่ยนเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากสภาพที่เป็นเมือง โดยตั้งเป้าชะลอการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียส
ส่วนหนึ่งคือการมุ่งสร้างอาคารสีเขียว คืออาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหมายความว่า ตั้งแต่การออกแบบก่อสร้าง การวางโครงสร้างไปจนถึงการบริหารจัดการ การบำรุงรักษาอาคารต้องเป็นไปแบบไม่ก่อมลพิษ ทั้งจาก ความร้อน การระบายอากาศ เครื่องปรับอากาศ ระบบให้แสงสว่าง ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ให้บริการ (Server) อุปกรณ์ทางสารสนเทศต่างๆ ซึ่งต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วนทั้งนักลงทุน ผู้รับจ้าง เจ้าของ ทั้งภาครัฐและเอกชน
ทุกอาคารต้องได้รับการออกแบบให้เป็นอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (net-zero) อย่างเร่งด่วน มีการคาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกจะทำให้มีการก่อสร้างอาคารที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในอีก 40 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้รวมถึงการรีโนเวทอาคารเก่าด้วย ในยุโรปจะมีการรีโนเวทอาคารเดิม 1-1.5 เปอร์เซ็นทุกปี การให้เป็นไปตามข้อตกลงปารีสต้องเพิ่มเป็น 2-5 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี
กรอบลักษณะอาคารที่มีคุณค่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีคุณสมบัติที่สำคัญ คือ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งจากตัวอาคารและจากการบริหารจัดการอาคาร เพิ่มการใช้พลังงานสะอาด ลดการปล่อยน้ำเสีย ลดความสูญเสีย เพื่อพื้นที่สีเขียว เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ในด้านความพึงพอใจของผู้อยู่อาศัยหรือผู้ใช้อาคาร จะต้องมีความเป็นอยู่และสุขภาพที่ดีขึ้น ระบบต้องมีความยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพ เพิ่มบริการแบบกริด และลดต้นทุนด้านพลังงาน
การขับเคลื่อนหนึ่งจากการลงทุนใน 3 ด้าน ได้แก่
1. การลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น ตัวให้ความร้อน พลังงานทดแทน พลังงานไฟฟ้า และที่จัดเก็บพลังงาน
2. การลงทุนด้้านดิจิทัล ในการวางระบบข้อมูลต่างๆ เช่น การใช้พลังงาน การปล่อยมลพิษทางอากาศ การเชื่อมโยงระบบต่างๆ ภายในอาคาร ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของระบบควบคุมอัตโนมัติ ของระบบบริหารจัดการอาคารได้ และสามารถใช้ในการปรับปรุงพัฒนากระบวนการตัดสินใจในขั้นตอนของการออกแบบ ก่อสร้าง การดำเนินการและการบำรุงรักษาอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. การลงทุนในบริการภายในระบบนิเวศของเมือง
เนื่องจากอาคารเป็นจุดเชื่อมกับระบบขนส่ง ซึ่งอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะเป็นแหล่งพลังงานได้ด้วย จากการสร้างพลังงานทดแทน แหล่งจัดเก็บพลังงาน การบริการจัดการพลังงานแบบอัตโนมัติจะสามารถให้บริการด้านพลังงานในการเป็นจุดชาร์จพลังงาน (Smart Charging) สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ของผู้อยู่อาศัย หรืออาคารพาณิชย์สามารถให้บริการแบบกริดแก่รถยนต์ส่วนบุคคลได้
ฟังดูแล้วก็เหมือนจะมีความดีขึ้น แต่ก็ยังรู้สึกสัมผัสได้ถึงความวุ่น ที่ยังมีอยู่บ้าง
โฆษณา