2 ก.พ. 2022 เวลา 03:30 • การศึกษา
EP.2 ‘ขน’ สิ่งบางเบาที่โคตรหนัก!
สึดดีย์จ์คุณผู้อ่านค่ะ ประเด็นของเราในวันนี้จะมาพูดถึงส่วนประกอบบนร่างกายที่ไม่ว่าจะมีก็เป็นปัญหา หรือไม่มีก็เป็นปัญหา และมนุษย์เราก็มักจะพยายามวุ่นวายกับไอเจ้าส่วนประกอบนี้เหลือเกิน
วันนี้เราจะมีพูดเรื่องขนกันค่ะ สิ่งบางเบาที่แสนจะยุ่งยาก ไอตรงที่อยากให้มีอย่างขนตา ขนคิ้ว ขนหัวหรือเส้นผมที่บางทีก็ไม่มี หรือมีก็บางซะเหลือเกิน ในขณะที่ไอตรงที่ไม่อยากให้มีอย่างขนหน้าแข้ง ขนรักแร้หรือแม้กระทั่งขนในที่ลับกลับขึ้นดกดำกันดี คุณผู้อ่านเคยตั้งคำถามไหมคะว่าทำไมเราจึงมีความรู้สึกต่อขนในบริเวณต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน บางที่อยากอวด บางที่อยากกำจัด บางที่ต้องทำให้มีเพิ่มขึ้น บางที่ต้องดูแลรักษาหรือตกแต่งเป็นพิเศษ มันคือความจำเป็นจริง ๆ หรือเป็นเพียงแค่กุศโลบายทางการค้ากันแน่ แล้วอะไรคือเกณฑ์หรือกรอบที่มองไม่เห็นแต่เราก็ทำตามกันแบบงง ๆ อยู่ ลองคิดตามกันดูนะคะ
ย้อนอดีตไปสักนิดในวันที่แนวคิดชายเป็นใหญ่ครองโลก ตั้งแต่มนุษย์เริ่มเข้าใจกฎของธรรมชาติว่ามนุษย์เพศหญิงที่ไม่เป็นหมันสามารถตั้งท้องกับมนุษย์เพศชายคนไหนก็ได้ที่ไม่เป็นหมัน โดยไม่สามารถระบุชัดเจนได้ว่าเซลล์ไข่ในท้องของมนุษย์เพศหญิงผู้นั้นปฏิสนธิกับเซลล์อสุจิตัวใดของมนุษย์เพศชายคนไหนหากมีการร่วมเพศในระยะเวลาใกล้เคียงกัน และมนุษย์เพศชายไม่สามารถรู้หรือมั่นใจได้เลยว่าตัวอ่อนที่อยู่ในท้องของมนุษย์เพศหญิงที่ตนเรียกว่าเมียเป็นลูกแท้ๆ ของตนจริงหรือไม่(ตราบใดที่ไม่ได้ตรวจDNA) การควบคุมการกระทำของมนุษย์เพศหญิงจึงมีความเข้มงวดและบางครั้งก็ถูกบีบให้บิดเบี้ยวไปจากสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาจนงง
แนวคิดคร่ำครึอย่างหนึ่งที่ยังคงอยู่มาถึงยุคปัจจุบันคือคนส่วนใหญ่ในสังคมยังคงมองว่าอารมณ์ทางเพศของมนุษย์เพศหญิงและมนุษย์เพศชายไม่เหมือนกัน การที่มนุษย์เพศชายเริ่มมีอารมณ์ทางเพศ ช่วยตัวเอง ดูหนังโป๊หรือคุยกันเรื่องเพศเป็นเรื่องทั่วไปตามประสาวัยรุ่น ในขณะที่มนุษย์เพศหญิงกลับถูกจับใส่กล่องที่เรียกว่าความไร้เดียงสา อ่อนต่อโลกและไม่มีความต้องการทางเพศ และจะได้รับอนุญาตให้รับรู้ ทดลองปฏิบัติจริงได้โดยมีมนุษย์เพศชายที่เป็นสามีเป็นผู้สอนภายหลังการแต่งงานเท่านั้น(อย่าลืมเงื่อนไขแบบ Middle Class Sexuality นะคะ แต่ถ้าใครลืมก็ย้อนไปอ่านที่ EP.1 ก่อนได้นะคะ )
แนวคิดโบราณดังกล่าวไม่เพียงแต่กดทับมนุษย์เพศหญิงเท่านั้น แต่กดทับมนุษย์ทุกคนอย่างไม่เกี่ยงเพศ ประเด็นแรกคือในโลกนี้มีเพศวิถีที่หลากหลายมากกว่าแค่ชายและหญิง และบุคคลเหล่านั้นมีสิทธิที่จะแสดงความต้องการทางเพศได้ตามที่บุคคลนั้น ๆ ต้องการโดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นมนุษย์เพศชายเท่านั้น(ตราบใดที่ไม่ใช่การล่วงละเมิดผู้อื่น) อีกประเด็นคือแนวคิดนี้ดูเหมือนจะทำให้ภาระในเรื่องทางเพศถูกผลักให้เป็นภาระของมนุษย์เพศชายฝ่ายเดียว คือการถูกคาดหวังให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นอัจฉริยะ ช่ำชองในด้านการทำกิจกรรมทางเพศทั้งที่ความจริงอาจไม่ใช่มนุษย์เพศชายทุกคนที่มีความต้องการทางเพศก็ได้
แล้วไอ้อารมณ์ทางเพศนี่เกี่ยวอะไรกับขน? คำตอบคือไม่เพียงแต่มนุษย์เพศหญิงที่ถูกมองว่าไร้เดียงสา อ่อนต่อโลก ไม่มีอารมณ์หรือความกระตือรือร้นทางเพศเท่านั้น แต่เด็กก็ถูกครอบด้วยแนวคิดที่ว่าเด็กไม่มีอารมณ์หรือความต้องการทางเพศ(Asexual Children) ดังนั้นจึงอาจอนุมานได้ว่ามนุษย์เพศหญิงที่ยังไม่แต่งงานก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กคนหนึ่งเท่านั้นเอง ส่วนวิธีการจะคงรูปมนุษย์เพศหญิงคนหนึ่งให้ดูเหมือนเด็กที่สุดจึงไม่ใช่การดูดจุกนมปลอมหรือการเล่นตุ๊กตา แต่เป็นการทำให้รูปลักษณ์ภายนอกดูเหมือนเด็กที่สุดคือการมีผิวเกลี้ยงเกลา อ่อนเยาว์และปราศจากขน โดยเฉพาะขนที่เพิ่งจะมาขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นอย่างขนรักแร้ รวมถึงขนบริเวณหัวหน่าวและอวัยวะเพศ
ในทางกลับกันมนุษย์เพศชายกลับต้องไว้หนวดเครา ปล่อยขนหน้าอก ขนหน้าแข้งยาวเฟื้อยเพื่อให้ดูโตขึ้นหรือเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่มนุษย์เพศหญิงได้รับการอนุญาตเพราะความแข็งแรง ความเป็นผู้ใหญ่หรือการมีวุฒิภาวะคือคุณสมบัติของหัวหน้าครอบครัวที่สังคมได้คาดหวังให้เป็นหน้าที่ของมนุษย์เพศชายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
นอกจากนี้ประเด็นเรื่องขนไม่ว่าจะเป็นการปลูกขนเพิ่มหรือกำจัดขนออกต่างได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งที่เรียกว่าแฟชั่นหรือกระแสความงามในอุดมคติซึ่งปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ไม่มีวันหยุดนิ่งและตายตัว เพราะถ้าแฟชั่นตายตัว มนุษย์ก็จะไม่มีเหตุผลในการเสียเงินซื้อสินค้าหรือบริการเสริมความงาม ซึ่งจะนำไปสู่การเสียผลประโยชน์ในกลุ่มผู้ผลิตหรือผู้สร้างกระแสแฟชั่นต่าง ๆ ได้
เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ อีกประเด็นที่น่าสนใจคือกระแสแฟชั่นมักจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษหากมันผิดจากสิ่งที่เป็นธรรมชาติเดิมของมนุษย์ เช่น การอาบแดดในกลุ่มคนขาวเพื่อให้มีสีผิวเข้มหรือสีแทน ในขณะที่คนเอเชียที่มีผิวสีเหลืองหรือสีดำแดงกลับพยายามทำสีผิวให้สว่างหรือขาวขึ้น แนวคิดของการกำจัดหรือปลูกขนก็เช่นกัน ขนที่ขึ้นเป็นธรรมชาติอย่างขนรักแร้ ขนหน้าแข้งหรือขนที่อวัยวะเพศเป็นสิ่งที่ถูกเลือกกำจัดเพราะถูกมองว่าทำให้ร่างกายดูสกปรก ในขณะที่ขนตา ขนคิ้วและขนหัวหรือเส้นผมกลับเป็นสิ่งที่ต้องมีให้เยอะเพื่อความสวยงาม เหล่านายทุนหัวหมอจึงต้องสร้างโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกว่าต้องซื้อสินค้าหรือบริการที่ช่วยตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนไปตามกระแสแฟชั่น
เมื่อกุศโลบายทางสังคมเป็นไปดังนี้ ทำให้ไม่เพียงแต่มนุษย์เพศหญิงเท่านั้นที่จะต้องปรับตัวตามกระแสทางสังคมและแฟชั่น แต่รวมถึงบุคคลที่มีเพศวิถีแบบเพศหญิงบางคนก็เลือกที่จะทำตามเช่นกันเพื่อสิ่งที่เรียกกันว่า ความละมุนนี
ในธรรมชาติความสวยงามโดดเด่นถูกสร้างให้กับสิ่งมีชีวิตเพศผู้อย่างพวกนกยูงและไก่ป่าเพื่อให้ดึงดูดเพศเมียและง่ายต่อการสร้างฮาเร็มของพวกมัน แต่กลับทิ้งให้มนุษย์เพศหญิงและมนุษย์ที่มีเพศวิถีแบบเพศหญิงต้องดิ้นรนเพื่อไขว่คว้าความสวยงามด้วยตัวเองโดยที่ต้องแบกบรรทัดฐานที่สังคมกำหนดเอาไว้ ซึ่งไม่ใช่แค่ภาระด้านกายภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นภาระทางการเงินและเวลาอีกด้วย
เป็นไปได้หรือไม่ว่าความจริงแล้ว ‘ความสวยงาม’ อาจเป็นแค่กุศโลบายทางการตลาดและถูกกำหนดโดยความพึงพอใจของผู้มีอำนาจในสังคมเท่านั้น มาตรฐานความงามที่ถูกสร้างขึ้นส่งผลให้ใครมีส่วนได้ส่วนเสียอย่างไร หรือจริง ๆ แล้วเราต่างแค่ทำตามไปเพื่อความสบายใจเฉย ๆ และความสวยในแบบของตัวเองสามารถเติมเต็มความรู้สึกของมนุษย์ได้จริงหรือไม่ ลองมาแลกเปลี่ยนความคิดกันได้นะคะ :)
ด้วยรักและเชื่อในความสวยงามของมนุษย์ทุกคนเสมอ
ไอวา เพื่อนผู้ขนรักแร้ดกของคุณ
โฆษณา