31 ม.ค. 2022 เวลา 17:22 • ความคิดเห็น
ก่อนจะตอบ ผมเป็นกำลังใจให้นะครับ ตอนผมทำงานผมกับคุณเหมือนกันมากครับ แต่ตอนนี้ผมตกงานครับ
จากที่ผมอ่าน มีสิ่งหนึ่งที่คุณมาถูกทางแล้วท่ามกลางรายจ่ายที่เกินครึ่งของเงินเดือนแบบนี้อย่างหนึ่งครับ
คือ คุณไม่ได้สร้างภาระหนี้สินให้ตนเองเพิ่มเช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ครับ
ผมขอคิดในแบบกรณีที่ว่า สุดท้ายบ้านของแม่เลี้ยงก็ไม่ได้ยกให้คุณนะครับ
เท่ากับตอนนี้ชีวิตคุณไม่มีหนี้สิน แต่ก็ไม่มีอะไรเลยเช่นกันถูกไหมครับ?
เงินที่เหลือ 10,000 บาท ต่อเดือนนี่ ยังมีรายจ่ายในชีวิตประจำวันอีกไหมครับ?
แล้วถ้าคุณประหยัดแล้ว คุณสามารถเก็บเงินต่อเดือนได้กี่บาทครับ?
และเมื่อบริษัทมีโบนัส คุณเก็บเงินนั้นทั้งก้อนได้เลย โดยไม่ต้องใช้จ่ายอะไรใช่ไหมครับ?
พอดีที่ผมถามเพราะผมไม่ทราบข้อมูลทั้งหมดและอยากให้คุณทบทวนตัวเองดูครับ
โดยสรุปไปเลยคือ ถ้าสุดท้ายคุณทำงานมีเงินเก็บและตอนนี้ไม่ได้มีหนี้สินอะไรผมขอให้คุณทำต่อไปครับ ค่อยๆเก็บเงินไปเรื่อยๆ และอย่าพึ่งผ่อนอะไรที่เกินตัวครับ
ดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี อายุยืนยาว ทำงานไหวยามชราได้ ถ้าตอนนั้นจำเป็นที่ต้องทำ
คุณเหมือนผมตรงที่ชีวิตไม่มีอะไรจะเสียแล้วครับ ผมเลยเก็บเงินทุกเดือนตอนทำงานและแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาลงทุนในตลาดหุ้นครับ และศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมมาตลอดครับ
แต่ถ้าไม่ชอบการลงทุน หรือไม่ทำธุรกิจของตนเอง ไม่ชอบค้าขาย ผมก็แนะนำได้แค่ว่า พัฒนาตัวเองในงานประจำ ให้เราเงินเดือนมากขึ้น และเก็บเงินต่อเดือนจำนวนมากขึ้น และดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ทำประกันสุขภาพเผื่อยามเจ็บป่วยด้วยครับ
แต่ถ้าคุณอยากศึกษาการลงทุน คุณอาจจะเริ่มดูคลิปของ คุณกวี ชูกิจเกษม ก็ได้ครับ สอนตั้งแต่เริ่มต้นจาก 0 ทัศนคติการเก็บเงินและการลงทุนครับ ตามลิ้งค์นี้ครับ
1
และอาจติดตาม ดร.นิเวศน์ และ Warren Buffet นักลงทุน VI ด้วยก็ดีครับ
ไม่ว่าคนร่ำรวยหรือคนลำบากที่เริ่มเก็บเงินนั้น ทุกคนสามารถยกระดับขึ้นได้ด้วย สิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่าง อัตราดอกเบี้ยทบต้น กันทั้งนั้นครับ มันเป็นสิ่งที่ทำให้ความห่างชั้นของฐานะระหว่างคนที่รู้กับไม่รู้ต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆครับ
เมื่อเงินทุนคุณใหญ่ขึ้น เวลาฝากธนาคารดอกเบี้ยเท่าเดิม แต่ผลตอบแทนคุณมากขึ้นถูกไหมครับ?
นั่นแหละครับ คุณลงทุนในหุ้น บริษัทที่ราคาหุ้นไม่แพงจนเกินไป และธุรกิจเติบโต เงินทุน สินทรัพย์บริษัทโตขึ้นเรื่อยๆ หนี้สินไม่มากเกินไป แค่นี้ราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นตามพื้นฐานของกิจการแล้วครับ (ถ้าไม่นับวิกฤติเศรษฐกิจและธุรกิจของบริษัทเริ่มไม่เป็นที่นิยมในโลกที่เปลี่ยนแปลง) และซื้อสะสมเรื่อยๆ กระจายความเสี่ยงจากการซื้อหุ้นที่ดีในอุตสาหกรรมที่ต่างกัน และสุดท้ายก็ได้ปันผล(ส่วนแบ่งกำไร)มากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าบริษัทโตขึ้นครับ
ถ้าคุณไม่ยอมแพ้ก่อน คุณน่าจะไม่ลำบากตอนแก่แน่นอนครับ
*คนที่เห็นคุณค่าของเงิน และไม่โลภมาก จะไม่ลำบากตอนแก่*
ส่วนเรื่องบ้าน ถ้าคุณเงินเดือนไม่พอจะผ่อน ก็ไม่ต้องซื้อไปก่อนครับ เก็บเงินเพิ่มเรื่อยๆ
แต่ถ้าจะเดินสายทำงานประจำแน่นอนแล้ว ถ้าเงินเดือนมากขึ้นก็ค่อยซื้อครับ เท่าที่ไหว
แต่ผมเดินสาย ลงทุน ครับ ผมจะลงทุนให้พอร์ตการลงทุนของผมโตมากๆจนเงินปันผลเลี้ยงตัวเองให้ได้ก่อน แล้วค่อยนำกำไรส่วนที่เหลือมาซื้อบ้าน ครับ ผมอดเปรี้ยวไว้กินหวานครับ
ทุกคนมีสไตล์การบริหารเงินกับการใช้ชีวิตเป็นของตนเองครับ
โฆษณา