3 ก.พ. 2022 เวลา 10:22 • การศึกษา
Too hard too handel เรียลลิตี้สุดสยิว ที่ดูแล้วต้องร้องโอ๊ย [EP.2]
ในบทความก่อนหน้าอู๋ได้พูดถึงปัญหาการสื่อสาร และความสัมพันธ์ของเหล่าผู้ร่วมรายการไปแล้ว [อ่านย้อนหลังได้ที่ลิ้งก์นี้ค่ะ ] https://www.blockdit.com/posts/61dfc6249ed66b46da7e46a8
แต่ EP.2 นี้ อู๋จะมาพูดถึง workshop ที่รายการได้จัดขึ้นเพื่อพัฒนาตัวตน และพัฒนาความสัมพันธ์ของผู้เข้าร่วมรายการแต่ละคนกันว่า มี workshop อะไรบ้าง?
1.workshop หญิงล้วน
มุ่งเน้นที่การใช้คำถามเพื่อให้ผู้เข้าร่วมรายการ เปิดเผยอารมณ์ความรู้สึก และเผชิญความกลัวของตัวเอง และเผชิญหน้ากับปัญหาจากความสัมพันธ์ครั้งก่อนๆ โดยทางรายการได้เชิญ อเล็กซานดร้า ร็อกโซ ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ที่เคยได้มาจัด workshop ให้กับรายการไปแล้วเมื่อซีซั่นแรก กลับบมาอีกครั้ง เพื่อช่วยเสริมพลังสาวๆ ด้วยการปล่อยวางอดีต
Workshop หญิงล้วนนี้จัดขึ้นเพื่อสำรวจดูสิ่งติดค้างที่ผู้เข้าร่วมรายการนำติดตัวมาด้วยจากความสัมพันธ์ครั้งหนึ่งไปสู่อีกครั้ง สิ่งที่เราคิดไปเองว่า คนที่อาจเป็นคู่ของเราทุกคนจะเป็นแบบเดียวกัน และการปล่อยวางลงอาจสร้างสัมพันธ์ที่ดีจริงๆได้
เริ่มเปิด workshop มาด้วยการพูดคุยเรื่องปัญหาความไว้วางใจที่มีต่อผู้ชาย ซึ่งปฏิกิริยาของผู้ร่วมรายการฝ่ายหญิงไม่ได้ทำให้อู๋ประหลาดใจสักเท่าไหร่ เพราะคนส่วนใหญ่เลือกที่จะเงียบ และเลี่ยง เมื่อมีใครบางคนถามเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกและพยายามให้พูดสิ่งเหล่านั้นออกมา แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็เริ่มเผยประสบการณ์ในอดีตของตัวเอง ความเจ็บปวด และการยึดติดบางอย่างในอดีตที่ยังมีผลต่อปัจจุบัน สุดท้ายอเล็กซานดร้าก็ให้ผู้เข้าร่วมรายการฝ่ายหญิงปลดปล่อยความเจ็บปวดในอดีตบางอย่างในเชิงสัญลักษณ์ โดยให้เขียนสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตที่พร้อมจะปล่อยวางและให้อภัยแล้ว ลงในกระดาษจากนั้นให้ขยำกระดาษและเอาไปทิ้งลงในกองไฟ
หลังจากจบ workshop ผู้เข้าร่วมรายการฝ่ายหญิงก็ได้ตระหนักและเรียนรู้ตัวเองมากขึ้น และเข้าใจความสัมพันธ์ที่มีปัญหาอยู่ตอนนี้มากขึ้น ซึ่งกระบวนการนี้สามารถเอามาใช้กับหลายๆเรื่องได้เลยนะคะ ไม่จำเป้นต้องเอามาใช้กับแค่ความเรื่องความสัมพันธ์ โดยเราอาจนำมาใช้เพื่อปลดปล่อยความทุกข์บางอย่าง เช่น ทุกข์จากความเจ็บปวดที่ถูกล้อเลียนรูปลักษณ์ในอดีต ทุกข์จากการถูกตำหนิที่ตัวตนจากคนในครอบครัว ทุกข์จากการถูกวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ชอบ เขียนความทุกข์เหล่านั้นลงไป ขยำทิ้ง หรือเอาไปเผาทิ้ง เพื่อเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ จะทำให้เรารู้สึกปล่อยวางลงได้ ใจเราก็จะเบาลง
2. workshop ชายล้วน
จัดขึ้นเพื่อให้กลุ่มชายหนุ่มผู้ร่วมรายการที่ขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ในการสร้างความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ให้พวกเขามีความรับผิดชอบมากขึ้นและควบคุมการขาดวุฒิภาวะของพวกเขา โดยมี คีธ มิทเชลล์ โค้ชฝึกสติเป็นผู้นำกลุ่มพาพวกชายหนุ่มเหล่านี้ทำกิจกรรม
โดยกิจกรรมที่จัดขึ้น คีธจะให้ชายหนุ่มคุยกับความเป็นชายของตัวเอง นั่นก็คือ ให้ชายหนุ่มแต่ละคนคุยกับไอ้จ้อนของตัวเองจ้า โดยคีธให้คำชี้แนะชวนให้หนุ่มๆคิดตามว่า ….
ให้เหล่าชายหนุ่มพูดถึง “สิ่งที่ตั้งใจทำกับความเป็นชายของตัวเอง ให้มองความเป็นชายให้เหมือนเงินและใช้มันอย่างชาญฉลาด” เพื่อสร้างความสนิทชิดเชื้อกับตัวเอง พูดถึงความว้าวุ่นใจ พูดถึงอดีต แทนที่จะปิดกั้นตามแบบที่ผู้ชายทำตามปกติ
ผลตอบรับจากประโยคชี้แนะเหล่านี้ค่อนข้างดีมาก เพราะในขณะทำ workshop นี้ เหล่าผู้ชายได้คิดว่าจะใช้สิ่งที่เค้ามีให้มันคุ้มค่ายังไง ประโยคที่หนุ่มๆพูดใน workshop นี้ เช่น
“ฉันอยากใช้แกทำสิ่งดีๆที่มีความหมาย แทนที่จะใช้แค่ชักใย โกหก ทำแบบที่ตัวเองต้องการ การใช้แก การมีเซ็กซ์กับคนอื่นๆน่ะ ช่วยปกป้องฉันจากความเปราะบาง โทษทีนะ แต่เราต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราแล้ว”
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เหล่าผู้ชายจะสามารถยอมรับอดีตของตัวเอง และสามารถพูดความรู้สึก ความคิดที่มี และเผยด้านเปราะบางออกมาได้ ฟังแล้วก็รู้เลยว่า การทำเวิร์คช็อปครั้งนี้มันมีประโยชน์และคุ้มค่ากับการได้เปลี่ยนแนวคิดที่มีต่อตนเอง และตระหนักต่อสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไปในอดีต
3. อุดปาก
workshop ที่สาม “อุดปาก” มีจุดประสงค์เพื่อสอนให้ผู้เข้าร่วมรายการทุกคู่พูดความจริงของตัวเองออกไป โดยใช้การสื่อสารเป็นเครื่องมือในการเชื่อมสัมพันธ์ต่อกัน โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารและสายสัมพันธ์ เบร็นเดน ดูเรลล์ มาช่วยให้ผู้เข้าร่วมรายการสองคู่ ได้มาเรียนรู้ถึงวิธีควบคุมอารมณ์ของตนเอง เพื่อให้อกีคนได้พูดออกมา และให้อีกคนรับฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เบร็นเดน ดูเรลล์ แบ่งคนตามการสื่อสารออกเป็น 3 ประเภทคือ
1.คนที่ใช้ปฏิกิริยาโต้กลับ
หมายถึงคนที่พร้อมจะตอบโต้ด้วยการพูดตลอด และไม่แม้แต้จะฟัง
2.คนที่ตอบรับ
หมายถึงคนที่พูดตอบรับทุกสิ่งที่อีกฝ่ายพูดถึง “ใช่ ฉันเองแหละ ฉันเป็นคนผิดเอง”
3.คนที่ปิดกั้น เงียบและเดินหนี
 
ซึ่งคู่ของคาลี่และแมท เป็นประเภทคนที่ปิดกั้น เหมือนกัน ปัญหาด้านการสื่อสารจึงเกิดขึ้น เบร็นเดน ดูเรลล์ ได้ให้ คาร์ลี่ กับเชส จับคู่กันและให้คนหนึ่งนำผ้าขนหนูมามัดปากอีกคนหนึ่งก่อนเริ่มการสนทนา โดยผู้เชี่ยวชาญชี้แจงว่า ให้คาร์ลี่ พูดสิ่งที่คิดและรู้สึกกับเชสทั้งหมด โดยที่อีกคนยังถูกมัดปากอยู่
“ อย่างแรกเลยฉันคิดว่าคุณมีอีโก้สูงมาก ฉันคิดว่าคุณโกหกฉัน ฉันคิดว่าคุณเป็นจอมชักใยจริงๆ ฉันคิดว่าคุณคบกับฉันด้วยเหตุผลที่ไม่ถูกต้อง คุณทำให้ฉันรู้สึกไม่มั่นใจ คุณไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกดีกับตัวเอง ฉันขอให้คุณแสดงความรักต่อฉันมาตลอด แต่ทันทีที่มีคนอื่นเดินเข้ามา คุณก็แสดงความรักในคืนนั้นกับคนอื่น และนั่นทำให้ฉันเสียใจ ร้องไห้ แต่คุณไม่เคยออกมาถามฉันว่าเป็นยังไง คุณไม่สนใจเลย”
หลังจากนั้นรายการจึงสัมภาษณ์ความรู้สึกของเชส เชสพูดต่อหน้ากล้องว่า “ผมเดาว่าคุณค่าของการฟังก็คือ ผมรู้สึกถึงความโกรธของเธอ ผมรู้สึกถึงความไม่สบายใจของเธอ ผมดีใจที่เธอบอกผมว่าเธอรู้สึกยังไง”
จะเห็นได้เลยว่า จุดประสงค์ของกระบวนการนี้คือ การสนทนาที่ผลัดกันเป็นผู้พูด และผู้ฟัง และสอนให้เรียนรู้ วิธีพัฒนาการสื่อสารของตัวเองด้วยการฟัง
โดยที่ผู้พูดต้องสื่อสารอย่างเหมาะสมด้วย คือ บอกความต้องการ ความคิด และความรู้สึกของตนเองออกมาอย่างชัดเจนและผู้ที่เป็นผู้ฟัง จะต้องตั้งใจฟัง ไม่ตัดสิน ไม่เลี่ยง และไม่พูดตัดบทการสนทนา
จาก workshop ทั้งหมดในรายการนี้ที่จัดขึ้น ถือเป็น workshop ที่ช่วยสร้างทักษะหนึ่งที่ควรมี ถ้าหากต้องการการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เพราะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพนั้นจะทำให้ความขัดแย้งเกิดน้อยลง โดยอ้างอิงจากหนังสือจิตวิทยาชีวิตคู่และการบำบัดคู่สมรส ของ ศาสตราจารย์แพทย์หญิง อุมาพร ตรังคสมบัติ
จะแบ่งการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็น 2 มีลักษณะ คือ
1. มีเนื้อหาที่ชัดเจน ไม่คุลมเครือ
2. ตรงไปยังบุคคลที่เป็นเป้าหมาย หรือเกี่ยวข้องโดยตรง ไม่อ้อมค้อมผ่านผู้อื่น
เมื่อพิจารณาจากคู่รักในเรียลริตี้ หรือแม้แต่คู่รักหลายๆคู่ในชีวิตจริง อาจสื่อสารกันในหลากหลายลักษณะ ดังนี้คือ
1. การสื่อสารที่เนื้อหาชัดเจน และตรงต่อบุคคลเป้าหมาย
ตัวอย่างที่เห็นได้จากเรียลริตี้นี้คือ การสนทนาระหว่าง คาร์ลี่และเชส ขณะทำ workshop ที่ 3 ที่คาร์ลี่พูดกับเชสโดยแสดงออกทั้งความคิด ความรู้สึกทั้งหมดออกมาอย่างชัดเจน
“ฉันคิดว่าคุณมีอีโก้สูงมาก คุณทำให้ฉันรู้สึกไม่มั่นใจ คุณไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกดีกับตัวเอง ฉันเสียใจ ร้องไห้ แต่คุณไม่เคยออกมาถามฉันว่าเป็นยังไง คุณไม่สนใจเลย”
การพูดแบบนี้เป็นการสื่อสารที่เหมาะสมที่สุด เพราะชัดเจนและตรงต่อผู้ที่ต้องการสื่อ เชสจะรู้อย่างชัดเจนว่า คาร์ลี่ต้องการอะไร และตนควรทำอย่างไร
2. เนื้อหาชัดเจนแต่ไม่ตรงต่อบุคคลเป้าหมาย
ตัวอย่างที่อาจพบได้ในชีวิตประจำวัน เช่น การพูดลอยๆขึ้นมาว่า “’งานบ้านเยอะจัง ไม่มีใครช่วยเลย” คำพูดนี้มีเนื้อหาชัดเจน แต่ไม่ได้บ่งบอกว่าพูดกับใคร
3. เนื้อหาไม่ชัดเจนแต่ตรงต่อบุคคลเป้าหมาย
เช่น ฝ่ายหญิงพูดขึ้นมาว่า “คุณนี่ช่างไม่มีน้ำใจเลย” เนื้อหาดังกล่าวเป็นคำรวมๆในทำนองต่อว่าฝ่ายชาย แต่ไม่ได้บอกว่า ฝ่ายชายทำอะไร และ ฝ่ายหญิงรู้สึกอย่างไร
4. เนื้อหาที่ไม่ชัดเจนและไม่ตรงต่อบุคคลเป้าหมาย
ฝ่ายหญิงพูดขึ้นมาว่า “คนบ้านนี้ไม่มีน้ำใจเลย” คำพูดดังกล่าวไม่มีความชัดเจนว่ากำลังพูดกับใคร และปัญหาคืออะไร
คู่รัก หรือ คู่สมรสที่มีประสิทธิภาพการสื่อสารได้ชัดเจนและตรงต่อบุคคลเป้าหมาย หากฝ่ายหนึ่งสื่อสารอย่างคลุมเครือและอ้อมค้อม อีกฝ่ายก็จะกลับไปทำนองเดียวกัน และหากการสื่อสารมีความคลุมเครือและอ้อมค้อมมากเท่าไหร่ ชีวิตคู่ก็จะมีปัญหามากขึ้นเท่านั้น
ในบทความหน้าลองจะมาเรียนรู้วิธีการสื่อสารที่เนื้อหาชัดเจน และตรงต่อบุคคลเป้าหมายกับ I-message กันต่อเพื่อที่จะได้พัฒนาการสื่อสารของเราให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกันนะคะ
#นักจิตอูยอน
แหล่งอ้างอิง
-จิตวิทยาชีวิตคู่และการบำบัดคู่สมรส ของ ศาสตราจารย์แพทย์หญิง อุมาพร ตรังคสมบัติ
-Too hard too handle 2
#จิตวิยาคู่สมรส #netflixseries #netflixth #toohardtoohandel2
โฆษณา