4 ก.พ. 2022 เวลา 15:17 • นิยาย เรื่องสั้น
เรื่องสั้น : เด็กหนุ่มผู้สะสมรอยยิ้ม กับ รอยยิ้มที่มองไม่เห็น (ภาคจบ)
=================
"งั้นผมลาตรงนี้แล้วกันนะครับพี่"
เด็กหนุ่มกล่าวพลางกระชับเป้ให้แนบหลัง เพื่อเดินทางต่อ
" อื้มม ... ว่าแต่น้องจะไปไหนต่อน่ะ"
" ผมว่าจะแวะไปหมู่บ้านแสงตะวันหน่อยน่ะครับ บ้านป้าผมอยู่แถวนั้น จะไปขอค้างสักคืนสองคืน"
" เฮ้ยย ถ้างั้นไปรถพี่ก็ได้นะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง บ้านพี่อยู่บนถนนเส้นนั้นพอดี จะได้แวะไปกินขนม น้ำชาบ้านพี่ด้วย เป็นการตอบแทนน้ำใจเล็กๆน้อยๆจากพี่อะนะ"
" งั้นดีเลยครับ.... รบกวนด้วยนะครับพี่"
==========
รถกระบะคันเล็กวิ่งเลาะแนวเขาที่ทิ้งโค้งสลับซ้ายทีขวาที สลับกันไปราว 30 กว่าโค้ง
แต่ละโค้งล้วนมีจังหวะจะโคนไล่เลี่ยกัน
พอให้คนนั่งในรถได้โยกหัวไปมา โดยไม่ไปชนกระจกรถด้านใดด้านหนึ่ง
ราวกับคนสร้างจงใจให้เป็นอย่างนั้น
" พอผ่านโค้งนั้นก็จะถึงซอยบ้านพี่ละ "
" โห พี่ขับรถเก่งมากเลย นี่เราผ่านโค้งมาขนาดนี้ ผมยังไม่รู้สึกมึนเลยซักนิด "
" เอ้า ก็ขับอยู่ทุกวันก็เลยชินไง......
เออนี่ เข้าไปก็ทนเสียงแม่พี่หน่อยแล้วกัน แกเป็นอัมพฤกษ์ แล้วก็ขี้หงุดหงิด อะไรไม่ได้ดั่งใจหน่อยก็พาลจะโวยวาย"
" ไม่เป็นไรพี่ ผมเข้ากับคนแก่เก่งอยู่แล้ว "
" อืมม....ถ้าไม่ไหวก็บอกพี่ละกัน"
.......
บ้านของหญิงสาวเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็กๆ หันหน้าเข้าถนน มีทางเล็กๆให้รถเลี้ยวเข้าไปจอด
สองข้างทาง มีต้นไม้ขึ้นดูร่มรื่น
หญิงสาวเปิดประตูเข้าไป
ภายในมีโต๊ะไม้วางอยู่กลางบ้าน มีตู้ โต๊ะ โซฟาวางอยู่เป็นระเบียบ บนผนังมีรูปรถสวยๆหลายรุ่น ใส่กรอบประดับไว้เต็มไปหมด
" พี่ชอบรถเหรอครับ"
" อ้อใช่ พี่เคยเป็นนักแข่งมาก่อนน่ะ แต่ว่า...
เอ้อช่างมันเถอะ...น้องนั่งรอที่โต๊ะนี้ละกัน เดี๋ยวพี่ไปทำขนม เตรียมน้ำชาให้ "
" ขอแวะไปสวัสดีแม่พี่ก่อนได้มั้ยครับ "
" ไม่เป็นไรหรอกน้อง.... แม่พี่เค้า..."
" เฮ้ยพี่ ไม่เป็นไร ผมโอเค.... แกจะได้มีเพื่อนคุยด้วย"
" อะ ตามใจละกัน"
แกว่าพลางเดินนำไปห้องด้านในสุด
"แม่...มีแขกมาเยี่ยม"
หญิงสาวเปิดประตูห้อง แล้วเปิดไฟ
เด็กหนุ่มเห็นหญิงชรา นอนห่มผ้าบนเตียง สีหน้าดูอิดโรย
ได้ยินเสียงแหบแห้งดังมา
" คะ...ใคร..มา"
" เพื่อนหนูเอง ไปเจอที่งานเทศกาล เค้าช่วยขนของ เลยว่าจะทำขนมเลี้ยงหน่อยน่ะ"
แล้วหญิงชราแกพูดอะไรต่อไม่รู้ซึ่งเด็กหนุ่มฟังไม่ออก
" เอาน่าแม่ นานๆทีจะมีคนมาคุยด้วย จะได้ไม่เบื่อ"
หญิงสาวลากเก้าอี้มาวางไว้ข้างๆเตียงหญิงชรา
" นั่งคุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปทำขนมให้"
แล้วแกก็เดินไปหยิบถาดอาหารที่อยู่บนโต๊ะเลื่อนข้างเตียงหญิงชรา
" คุยกันดีๆล่ะแม่ อย่าโวยวายเสียงดังเน่อ "
แล้วแกก็หยิบถาดอาหาร ออกจากห้องไป
เด็กหนุ่มวางเป้ลงตรงมุมห้อง
แล้วลากเก้าอี้ไปนั่งใกล้ๆหัวเตียงหญิงชรา
ใครคนหนึ่งเคยบอกเด็กหนุ่มประมาณว่า....
หากเราพาตัวเองไปในเวลาที่เหมาะเจาะ ในสถานที่ๆเหมาะสม...เราอาจได้พบสิ่งมหัศจรรย์
ใครคนนั้นที่ว่า ...อาจคือคนที่นอนอยู่บนเตียงเบื้องหน้าเขา
และนี่...อาจเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของการเดินทางในครั้งนี้
เด็กหนุ่มยังคงจำได้เสมอ
แม้ว่าหญิงชราในวันนี้ จะเปลี่ยนไปจากในความทรงจำมากพอดู
แกดูแก่ และซูบผอมไปมาก
ดวงตาที่เคยเป็นประกายกลับดูหมอง
...เหมือนท้องฟ้าที่มีหมอกปกคลุม
" สวัสดีครับยาย วันนี้อากาศดี มีลมพัดเบาๆ พอให้สบายตัว ...ยายอยากให้ผมเปิดหน้าต่างไหม"
"....เอ๊อะ เอ๊อะ.."
ยายขยับริมฝีปากขึ้นนิดหน่อย พลางทำสีหน้าไม่สบอารมณ์
....หรือนั่นอาจเป็นสีหน้าปกติของยายอยู่แล้ว
" ยายรู้ไหมว่า "สายลม" แต่ละที่ แต่ละฤดูกาลนั้น ให้สัมผัสผิวกายที่ไม่เหมือนกัน"
"......"
" ผมเองก็เป็นนักเดินทางครับยาย เดินทางไปทั่วเหมือนสายลมที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ณ ที่ใด...."
"......"
"นอกจากนั้น ผมก็ยังเป็นนักสะสมรอยยิ้มด้วยนะ การ ได้เดินทางไปยังที่ต่างๆนั้น ทำให้ผมได้เห็นความแตกต่าง หลากหลายของรอยยิ้ม
บางที่ผู้คนยิ้มง่าย และบ่อย จนเหมือนกับเป็นกิจวัตร
บางที่ ผู้คนยิ้มยาก แต่เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมมิตรภาพ
แต่ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มแบบไหน
ทุกรอยยิ้ม ล้วนมีเรื่องราว
...เหมือนกลิ่นหอมของดอกไม้ สายฝนที่หล่นร่วง ท่วงทำนองของสายน้ำ ...ที่ยายเคยเล่าให้ฟังไง"
"....เอ้ออ..."
ผมมองเห็นประกายตาแวบหนึ่ง ในดวงตายาย
..แล้วแกก็ขมุบขมิบปากเหมือนจะพูดอะไรออกมาเบาๆ
".....จ.....เจ้า.....ห...หนู"
"ครับยาย....ผมว่ายายน่าจะจำผมได้แล้วล่ะ"
" ...อื้อ..."
" ถ้างั้น....ผมจะเล่าเรื่องอะไรให้ยายฟัง เพื่อตอบแทนที่ยายเล่าเรื่องของสะสมยายให้ผมฟังเมื่อคราวนั้นก็แล้วกันนะครับ"
เด็กหนุ่มนิ่งคิดสักพัก
" งั้นผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังดีกว่า ยายเคยเห็นรอยยยิ้มที่ประหลาดที่สุดมั้ย ในที่ๆหนาวที่สุดมั้ย
"..เอ้อ...."
" เมื่อสองปีก่อน ผมได้เดินทางไปยังหมู่บ้านที่อยู่ท่ามกลางขุนเขา ....แต่ทางที่จะไปนั้น จำเป็นจะต้องผ่านภูเขาหิมะสูง
เนื่องจากวันนั้นสภาพอากาศแย่มาก หิมะตกตลอดวัน
ผมเลยเดินฝ่าหิมะหนา เกือบถึงเข่าอยู่วันนึงเต็มๆ เหนื่อยล้าสุดๆ ตอนนั้นก็เกือบจะหกโมงแล้ว ....ตามแผนควรจะต้องถึงหมู่บ้านตั้งแต่ 2 ชั่วโมงที่แล้ว แต่หิมะยิ่งตกหนักมากในช่วงบ่ายจนเป็นพายุหิมะ เลยทำให้เดินได้ช้าลงมาก
โชคยังดีที่ผมเห็นถ้ำอยู่ใกล้ๆ เลยคิดว่าคืนนี้พักที่นี่ก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางต่อ
ผมเลยเดินเข้าไปในถ้ำ เดินส่องไฟฉายหาที่เหมาะๆสำหรับนอนพัก แต่ก็พลันได้ยินเสียงขู่
"แฮ่ แฮ่!!" ดังมาจากความมืดข้างใน
ผมส่องไฟฉายไป ปรากฏว่าเป็นหมาป่าสีขาวตัวโตกำลังแยกเขี้ยวขู่ ...ผมตกใจมาก กำลังจะวิ่งออกไปจากถ้ำ ก็พอดีเห็นว่าขาหลังข้างซ้ายของมันบาดเจ็บอยู่ มันคงจะมาหลบพายุเหมือนกัน
ตอนนั้นผมเหนื่อยและหนาวมาก จะให้ออกไปฝ่าพายุหิมะอีกคงไม่ไหว ผมเลยค่อยๆเดินเลี่ยงไปในซอกหลืบหนึ่งของถ้ำ ...เสียงขู่คำรามก็ยังดังตามมาเรื่อยๆ ผมก็กลัวนะ ถ้ามันจะเข้ามาทำร้าย ผมจะเอาอะไรไปสู้ ผมนั่งกอดเป้ไว้แล้วหลับตา
" เอาไงเอากันวะ ...ยอมเสี่ยง อยู่ในนี้ดีกว่าออกไปหนาวตายในพายุข้างนอก"
.. แต่ไม่นาน เสียงขู่ก็ค่อยๆหยุดลงไปเอง
ผมจัดการก่อไฟจากเศษไม้ที่เก็บมาระหว่างทาง แล้วหยิบอาหารกระป๋องที่เตรียมไว้ออกมากินจนพออิ่ม
แล้วก็เกิดนึกขึ้นได้ว่า
เจ้าหมาป่าบาดเจ็บนั่นมันจะได้กินอะไรหรือยังนะ? ผมเลยเปิดอีกกระป๋องแล้วค่อยๆ ย่องไปวางไว้ใกล้ๆหมาป่า มันเองก็พยายามขู่และเห่า แต่เสียงมันแหบพร่าไร้พลัง ผมจึงกล้าเข้าไปใกล้ เพราะรู้ว่ามันคงไม่มีแรงกระโจนใส่ผมแน่ๆ
แต่ก็ไม่ถึงกับใกล้มาก แค่พอที่จะวิ่งหนีทัน
แล้วผมก็กลับมายังที่
กองไฟกำลังอุ่นสบายได้ที่ พอล้มตัวลงปุ๊บก็แทบจะหลับไปในทันที
ผมหลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าตื่นมาพร้อมสัมผัสอุ่นๆนุ่มๆ พอลืมตาขึ้นก็แทบจะสะดุ้งโหยง เพราะเจ้าหมาป่าตัวนั้นมันมาซุกตัวอยู่ข้างๆผม ... ผมค่อยๆลูบขนมันอย่างเก้ๆกังๆ
มองเห็นกองไฟที่มอดลงเหลือแต่ควันจางๆ เห็นกระป๋องเปล่าที่เจ้าหมาป่ากินหมดไปแล้ว และรอยเลือดกองเล็กๆที่กองไฟฝั่งตรงข้าม
ผมพอจะเดาได้ว่า เจ้าหมาป่าน่าจะไว้ใจผมในระดับนึงล่ะนะ และมันก็คงจะหนาวเหมือนกัน เลยเดินมานอนใกล้ๆกองไฟ พอกองไฟดับ มันก็เลยมาอาศัยความอุ่นจากร่างกายผม"
"...... ."
เด็กชายหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงภาพในตอนนั้น
"ผมว่า "ความหนาว" ก็มีข้อดีของมัน มันทำให้คนแปลกหน้าหันมาไว้ใจกัน ได้มากอดกันกันโดยไม่รังเกียจ หวาดกลัว ....
ในตอนนั้นผมก็นึกได้ว่า เจ้าหมามันบาดเจ็บนี่นา เลยค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบชุดปฐมพยาบาลในกระเป๋าข้างตัวออกมา ค่อยๆใส่ยา และพันแผลให้มันด้วยมือข้างเดียว เพราะอีกข้าง มันนอนทับอยู่
....เจ้าหมาลืมตาตื่นขึ้นมาครู่หนึ่ง มันมองตาผม แล้วก็หลับต่อ ...ผมเองก็หลับตามมันไปในท่าซุกกอดกันนี่แหละ
ผมตื่นมาอีกทีตอนเช้า เมื่อแสงอาทิตย์ลอดเข้ามาในถ้ำ เห็นเจ้าหมายืนมองไปยังปากถ้ำ บาดแผลมันคงจะดีขึ้นแล้ว มันหันกลับมามองผมด้วยสายตาเป็นมิตร ผมสังเกตุเห็นเหมือนกับสร้อยเส้นเล็กๆอยู่ใต้ขนคอมัน .....ผมจึงพอจะเดาได้ทันทีว่า เจ้าหมานี่มีเจ้าของ และเจ้าของมันก็น่าจะเป็นคนในหมู่บ้านกลางเขาที่ ผมจะไปนี่แหละ
หลังจากนั้น ผมจึงเดินทางไปกับเจ้าหมา ไม่นานนักก็ถึงหมู่บ้าน เจ้าของหมาและชาวบ้านต้อนรับผมเป็นอย่างดี เราพูดคุยกัน แล้วก็เลยรู้ว่า เมื่อวานขณะที่เหล่าชาวบ้านไปหาของป่าพร้อมกันกับเจ้าหมา จู่ๆพายุหิมะก็ก่อตัวรุนแรง ทำให้พวกเขาพลัดหลงกับเจ้าหมา เช้านี้เขากำลังจะออกไปตามหากัน ก็พอดีเจอผมกับเจ้าหมาซะก่อน
พวกเขาทำอาหารอร่อยๆให้ผมกินหลายอย่าง และชวนให้ผมค้างคืนที่นั่น ซึ่งผมก็ไม่ขัด
และพอวันรุ่งขึ้น ผมก็ขอตัวลากลับ
..เจ้าหมาป่าสีขาวก็หันมามองผมและแยกเขี้ยวยิงฟันขาวอร่าม
และนั่นแหละครับ คือความทรงจำของรอยยิ้มที่ประหลาดที่สุดในที่ๆหนาวที่สุดของผม"
..........
ผมหยุดเล่า แล้วหันไปมองยาย
"....นี่คือความทรงจำของผม ผมว่ายายก็น่าจะมีความทรงจำดีๆแบบนี้มากมายเลยใช่ไหมล่ะ เหมือนอย่างตอนนั้นที่ยายเคยเล่าให้ผมฟังไง"
หญิงชรานิ่งไปครู่หนึ่ง
พลางค่อยๆยกนิ้ว แล้วชี้ที่ดอกไม้เหี่ยวๆที่วางตรงมุมห้องข้างทีวี
" ไม่......มี....ค...คน..เห็น....คค..ค่า"
ผมพยักหน้าเบาๆ
" ผมรู้และเข้าใจดีครับยาย ว่าโลกทุกวันนี้ไม่เหมือนเมื่อสิบปีที่แล้ว ....ผู้คนดูเหมือนให้ค่ากับสิ่งต่างๆรอบตัวน้อยลงและมองดูมันแค่เพียงผิวเผิน ......
พวกเขาหันไปสนใจ สิ่งที่จับต้องได้และดึงดูดความสนใจมากกว่า"
ผมพยักเพยิดไปที่ทีวี
"แต่ยายรู้มั้ย ความทรงจำ
กลิ่นดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ สัมผัสของฝนต้นฤดูหนาวที่ยายเคยสอนผมวันนั้น มันยังมีคงงดงามเสมอนะยาย เวลาเรานึกถึงมันเมื่อไหร่ มันก็ชื่นใจได้เสมอจริงไหมยาย?"
ยายนิ่งเงียบ ไม่ส่งเสียงอื้อเอ้อเหมือนเคย
แกถอนหายใจ พลางมองไปที่ปลายผ้าห่มที่คลุมขาแกไว้
" จำได้ไหมยาย?... ยายเคยบอกผมว่า สิ่งมหัศจรรย์ของโลก จะมาให้เราเห็นก็ต่อเมื่อ
เราไปอยู่ในสถานที่นั้นๆอย่างเหมาะเจาะ ในเวลาที่เหมาะสม ของมัน ใข่ไหมยาย?"
ผมรอให้ยายส่งเสียงอื้อในลำคออีกครั้งก่อนจะพูดต่อ
"ยายรู้ไหม? ว่าตอนนี้สิ่งมหัศจรรย์ก็ยังคงอยู่ตรงหน้ายายนี่แหละ.... และยายก็อยู่ในสถานที่ๆเหมาะเจาะแล้ว เพียงแค่ยายยังไม่อยู่ใน"เวลา"ที่เหมาะสมเท่านั้นเอง..."
คิ้วยายดูจะร่นเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความสงสัย
" .....'เวลา'ของยายในตอนนี้มันเดินย้อนไปในอดีต ช่วงที่ยายยังเดินเหินได้ใช่ไหมล่ะยาย ยายจึงมองไม่เห็นความมหัศจรรย์ที่อยู่ตรงนี้"
ยายรู้ไหมว่า? ณ ตอนนี้ ยายกำลังอยู่ในบ้านเล็กๆที่อบอุ่น ท่ามกลางธรรมชาติ มีลูกสาวที่รักและคอยดูแลยายตลอด
ยายรู้ไหมว่า เธอยอมทิ้ง"ความฝัน"ของเธอเพื่อที่จะได้มาอยู่ดูแลใกล้ชิดยาย
ยายรู้ไหมว่า แม้กระทั่งงานอดิเรกสะสมใบไม้ดอกไม้แห้งของเธอ ก็ยังได้รับการถ่ายทอดมาจากความฝันของยายเลยนะครับ
ผมว่านี่คือ 'สิ่งมหัศจรรย์' ที่ยายอาจมองข้ามไปรึเปล่ายาย?"
..........
น้ำตาหยดหนึ่งของยาย ปริ่มออกมาจากตา
และค่อยๆไหลผ่านริ้วรอยแห่งกาลเวลาตามโหนกแก้มของยาย
มันสะท้อนภาพ ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่นั่งส่งยิ้มให้ยาย
เด็กหนุ่มเห็นภาพสะท้อนนั้นเลือนลาง ดูคล้ายกับภาพเด็กน้อยในอดีต ที่ยืนคุยกับยายข้างต้นไม้ใหญ่
บางที....ยายอาจกำลังเห็นภาพเดียวกัน
" ขอ....บ....ใจ"
ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้ายาย
แต่เด็กหนุ่มรู้ดีว่า ....ยายกำลังยิ้ม
แม้ไม่ได้ปรากฏออกมาเป็นรอยยิ้ม
....เป็นรอยยิ้มที่มองไม่เห็น
แต่เข้าใจกันระหว่างทั้งคู่
......
"...ป...เปิด หน้า.....ต...ต่าง...."
เด็กหนุ่มทำตามที่ยายบอก
"แอ๊ดดด....."
เสียงหน้าต่างดังลั่น บ่งบอกถึงกาลเวลาเนิ่นนานที่มันไม่เคยได้เปิดออก
....
ข้างนอกหน้าต่าง มีฝนตกพรำๆ ลมเย็นกำลังดี
เลยออกไปประมาณ 50 เมตร มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งยืนต้นอยู่ริมลำธารเล็กๆ
เด็กหนุ่มมองแวบเดียวก็รู้ว่า
นั่นคือ...."ต้นไม้ต้นนั้น"
"นั่นเป็นต้นไม้ที่คุณแม่ขอให้ย้ายมาปลูก ก่อนที่จะถูกโค่นเพื่อสร้างอาคารน่ะค่ะ "
เสียงหญิงสาวดังมาจากประตู เธอเบี่ยงหน้าไปเพื่อแอบปาดน้ำตา ก่อนเดินเข้ามาในห้อง
" ขอบคุณมากเลยนะน้องที่ทำให้คุณแม่กลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง "
ลูกสาวยายวางสำรับน้ำชาและของว่างที่ดูเหมือนจะเป็นเค้กช๊อคโกแลตบนโต๊ะข้างผม
แล้วลุกไปประคองหลังหญิงชราให้ลุกขึ้นมามองภาพที่ปรากฏจากหน้าต่างปลายเตียง
" สิ่ง.....มะ...มหัศจ....จรรย์ .....ตรง...น..หน้า..."
....เป็นเสียงแหบแห้งทว่าฟังดูมีชีวิตชีวา
" ครับยาย.....มหัศจรรย์จริงๆ.."
เย็นวันนั้น
หากเธอเดินกลับจากงานเทศกาลของสะสมธรรมดา
และไม่ธรรมดา
แล้วได้เดินผ่านมา
ณ สถานที่นี้...ที่เหมาะเจาะ
ในเวลานี้...ที่เหมาะสม
เธออาจได้ดอมดมกลิ่นหอมของดอกไม้
ได้ยินเสียงฝนที่หล่นร่วง
และท่วงทำนองของสายน้ำ
ถ้าหากเธอไม่รีบเร่งจนเกินไปนัก
และมีเวลาหันมองรอบข้าง ผ่านหน้าต่างบ้านหลังเล็กๆ เธอก็จะได้เห็นสิ่งงดงามอีกสิ่งหนึ่ง
คือ รอยยิ้มอันบริสุทธิ์และงดงามของคนสองคน
และอีกหนึ่งรอยยิ้ม...ที่มองไม่เห็น (ดังชื่อเรื่อง)
แต่รับรู้ได้ด้วยบริบทแห่งความสุข
นั่นอาจเป็นสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นหนึ่งของโลก
และ
'ของสะสม' สองสิ่งที่งดงามที่สุด
ที่จะอยู่ในห้วงความทรงจำของเธอ
ต่อไป.....อีกนานแสนนาน
ซงย้ง
โฆษณา