Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เรื่องสั้น...วันฝนพรำ
•
ติดตาม
5 ก.พ. 2022 เวลา 00:28 • หนังสือ
รีวิวหนังสือ : แมวน้อยอยากนิพพาน
=========================
เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ที่เคยเห็นนานแล้วที่ชั้นวางหนังสือห้องสมุด
แต่ฉันไม่เคยคิดจะยืมมาอ่าน
ด้วยหน้าปกดูธรรมด๊า ธรรมดา
….แต่วันนี้ฉันนึกสงสัย
เอ แมวเหรอ? นิพพานเหรอ?
มันดูจะน่าจะเป็นคนละ Genre… เหมือนหนังคนละม้วนกันเลยนี่นา
พอคิดแบบนี้ก็เลย “ยืมดีกว่า”
…..
พออ่านจบปุ๊บเท่านั้นแหละ
“ ทำไมตูถึงเพิ่งมายืมเอาตอนนี้ฟะเนี่ย!!!! ”
(Spoiler ) เนื่องจากหนังสือค่อนข้างสั้น ฉันอาจเล่าสรุปรวบยอด หากใครสนใจหามาอ่าน ขอให้ข้ามช่วงนี้ไปเลยนะ
….
เรื่องมีอยู่ว่า…
มีครอบครัวสามีภรรยาญี่ปุ่นคู่หนึ่งยากจนมาก
สามีเป็นศิลปิน นักวาดภาพ ภรรยาเป็นแม่บ้าน
สามีให้เงินไปซื้อกับข้าว
…ภรรยาแกก็ไปซื้อแมวมาซะนี่
บอกว่าเอามาอยู่เป็นเพื่อนกัน จะได้ไม่เหงา
สามีแกก็ขึ้นเลยครับ นึกว่าจะได้กินปลากับเค้าบ้างวันนี้ อุตส่าห์รอมานาน
แล้วทั้งคู่ก็โต้เถียงกันซักพัก
ภรรยาก็ขอโทษ และร้องไห้เสียใจ
…สามีเห็นดังนั้นก็คิดในใจ
ทำไมเราถึงต้องโกรธนะ …..หริอว่าเราแค่หิว
เขาลองมองดูลูกแมวอีกครั้ง
และเห็นว่ามันสวยและน่ารักมาก
“นี่มันดียิ่งกว่าข้าวอีกนะเนี่ย” เขากล่าว
แล้ววันนั้น…..เจ้าแมวก็ได้บ้านใหม่
เจ้าแมวน้อยมีความประพฤติเรียบร้อยมาก
กินง่ายอยู่ง่าย เวลาสามีภรรยาไปสวดมนต์ มันก็มานั่งนิ่งๆ เหมือนสวดนต์ไปด้วย…
……
หลังจากนั้นไม่นานก็มีหลวงพ่อจากวัดแห่งหนึ่งมามอบหมายให้ศิลปินวาดภาพผืนใหญ่
เป็นภาพพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน เพื่อนำไปประดับวัด
ศิลปินดีใจมาก เพราะว่าวัดนี้เป็นวัดดัง หากผลงานเขาได้มีโอกาสไปโชว์ที่นั่น
ผู้คนมากมายก็จะมาจ้างเขาต่ออย่างไม่ต้องสงสัย
....นี่คือโอกาสที่ดียิ่ง ที่จะได้หลุดจากความยากจน และพอลืมตาอ้าปากได้บ้าง
จากนั้นหสวงพ่อก็ได้ให้เงินมาส่วนหนึ่งก่อน และอีกส่วนท่านจะจ่ายให้หลังจากงานเสร็จ
……
ศิลปินตั้งใจทำงานนี้มาก เขาทั้งนั่งสมาธินานๆ ทั้งพยายามคิดพิจารณาเพื่อระลึกถึงพุทธประวัติอย่างถี่ถ้วน เพื่อที่จะวาดภาพพระพุทธองค์ได้อย่างงดงาม
หลังจากวาดพระพุทธเจ้าเสร็จ เขาก็วาดเทพ เทวดาทั้งหลายที่มาร่วมส่งพระพุทธองค์สู่ปรินิพพาน
เสร็จแล้ว ศิลปินยังที่คิดจะวาดเหล่าสัตว์มากมายที่จะมาร่วมส่งเสด็จด้วย
(เนื่องจากเข้าตั้งใจมาก เลยใช้เวลาวาดได้แค่วันละตัว)
เขาเเลือกเฟ้นสัตว์แต่ละตัวที่จะวาดอย่างดี โดยพยายามนึกถึงนิทานชาดก
หรือเรื่องเล่าในพุทธประวัติของสัตว์ที่มีลักษณะงดงาม มีจิตใจดีงาม หรือมีคุณธรรมต่างๆ
เช่น ลิง เสือ ช้าง หมา ( ช่วงนี้เหมือนเป็นนิทานซ้อนนิทาน อ่านเพลินๆ )
ระหว่างศิลปินวาดภาพเจ้าแมวจะไม่ไปกวนสมาธิเลย คอยเฝ้าดูห่างๆ
และทุกๆครั้งที่วาดสัตว์ตัวใหม่เสร็จ เจ้าแมวก็จะเดินไปชมภาพของศิลปิน
แรกๆก็ชื่นชมไปกับภาพ
…แต่มันก็ดูเหมือนจะเศร้าลงไปเรื่อยๆ เมื่อศิลปินวาดเสร็จไปหลายตัว
ถึงตรงนี้ขอเสริมนิดนึงว่า ในบางความเชื่อของทางพุทธกล่าวว่า แมวไม่อาจขึ้นสวรรค์ได้เนื่องจากเป็นสัตว์ที่หยิ่งทะนง และไม่เคารพพระพุทธเจ้า นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ศิลปิน ไม่ยอมวาดภาพแมวลงไป
ผ่านไปวันแล้ววันแล้ว เจ้าแมวก็ได้แต่รอ
….สุดท้ายมันก็ซูบผอม ไม่กินอะไรเลย
ศิลปินมองดูเจ้าแมวแล้ว ก็สงสารมันขึ้นมาจับใจ
….เขานึกถึงความรู้สึกของเจ้าแมวน้อย ที่คล้ายกับต้องคำสาปชั่วนิรันดร์ ได้แต่มองสัตว์ทั้งหลายได้รับพรจากพระพุทธองค์ และได้ไปสวรรค์ ส่วนตัวมันเอง ได้ยินเพียงเสียงประตูนิพพานปิดลงต่อหน้ามัน ….น้ำตาของศิลปินเริ่มปริ่มออกมา เขาจับพู่กันจุ่มสี แล้วบรรจงวาดมันเป็นสัตว์ตัวสุดท้ายที่มาเข้าเฝ้าส่งเสด็จพระพุทธองค์
เจ้าแมวน้อย พอได้เห็นภาพวาดของศิลปิน
มันก็สุขใจเหลือล้น จนไม่อาจยังสังขารไว้ได้
แล้วตายจากไปอย่างสงบ
ครั้นพอถึงกำหนด ศิลปินก็นำภาพวาดไปที่วัด หลวงพ่อมองดูภาพแล้วก็โมโหมาก เพราะเห็นรูปแมว สัตว์ที่ไม่ควรได้รับพรจากพระพุทธองค์ปรากฏอยู่บนภาพ ท่านจึงต่อว่า แล้วบอกว่าจะเผาภาพนั้นทิ้งพรุ่งนี้ และจ้างศิลปินคนอื่นมาวาดแทน
ศิลปินกลับบ้านตัวเปล่า เขาเศร้าใจมาก ต่อไปนี้เขาและภรรยาจะยากจนยิ่งกว่าเก่า คงไม่มีใครมาจ้างเขาวาดภาพอีก เพราะชื่อเสียงคงจะมัวหมอง แต่เขาไม่เสียใจเลย ที่ทำเช่นนั้นลงไป
คืนนั้นเขานั่งเงียบจมอยู่ในห้วงความคิด เพียงลำพัง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงดังมาจากนอกบ้าน
“ มาเถอะพวกเรา มาดู เมตตาธรรมของพระพุทธองค์ ” เป็นเสียงพระจากที่วัดป่าวประกาศ
ศิลปินรีบวิ่งไปที่วัด และตรงไปดูรูปวาดของตน
เขาทรุดลงคุกเข่า น้ำตาไหลอาบนองหน้า
ที่รูปภาพเบื้องหน้า ที่ๆเคยมีรูปแมวอยู่ ได้กลายเป็นผืนผ้าใบสีขาวไปแล้ว ราวกับไม่เคยได้ถูกวาดมาก่อน
ส่วนที่เบื้องหน้าพระพุทธองค์ที่นอนอยู่ ปรากฎภาพมือของท่านกางออก ในท่าประทานพร
…. และมีเจ้าแมวน้อยนั่งคุกเข่า ก้มหัวต่ำ ถวายความเคารพอยู่หน้าเบื้องพระพักตร์ อย่างเป็นสุข
…………
เรื่องก็จบลงตรงนี้
ทิ้งให้ผู้อ่านได้จินตนาการกันต่อเล่นๆ
ว่าภาพๆนั้น แปรเปลี่ยนไปได้อย่างไร
…เป็นปาฎิหาริย์จริงๆ?
หรือ มีพระที่วัดบางรูป นึกเมตตาศิลปิน จึงแอบมาวาดเติมให้?
หรือ จะเป็นหลวงพ่อเอง?
แต่ไม่ว่าจะยังไง
‘สาร’ ที่ต้องการจะสื่อในเรื่องนี้ที่ฉันพอจะจับความได้
…ก็ช่างจับใจฉัน
และควรค่าแก่การโอบรับไว้เป็นอย่างยิ่ง
….
หนึ่ง คือ ความเมตตา อันเป็นพื้นฐานหนึ่งแห่งพุทธะ
ความเมตตาของศิลปินผู้นั้น
เธอเองก็คงสัมผัสได้
ทั้งๆที่เขารู้ว่า ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร
แต่เพื่อเจ้าแมวน้อยสุขใจ เขายินดีทำ
สอง คือ ปัจจุบันขณะ
ไม่ว่าหลักการ ระบียบ กฏเกณท์ทางสังคมจะเป็นอย่างไร? แต่ชั่วขณะที่เขาอยู่ต่อหน้าเจ้าแมวน้อย ก่อนจะตัดสินใจวาดนั้น
คือ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับศิลปิน
เพราะชั่วขณะนั้น … คือ “ที่นี่ เดี๋ยวนี้” ..ของเขา ณ ตอนนั้น
อดีต (กฏเกณท์ว่า แมวไม่อาจขึ้นสวรรค์ได้ ) ก็ผ่านมาแล้ว
อนาคต (ทางวัดไม่พอใจ ) ก็ยังไม่มาถึง
…จึงไม่อาจสำคัญเท่า
ความเมตตาที่ศิลปินจะมอบให้แก่ เจ้าแมวน้อยตรงหน้า
…ที่นี่ เดี๋ยวนี้
สาม คือ ทานและอนัตตา
เพียงชีวิตของสัตว์โลกธรรมดาๆตัวหนึ่ง……
ศิลปินได้ยอมสละออกซึ่งลาภ ยศ สรรเสริญที่ตนพึงได้
การสละออกเช่นนี้… คือ การให้ทาน
…แต่ไม่ใช่เพียงเท่านั้น
ศิลปินยังยอมสละออกซึ่ง อัตตา,,, ตัวตน
ชื่อเสียง และการยอมรับ ล้วนเป็นเพียงภาพมายาสำหรับเขา
หากเทียบกับการช่วยหนึ่งชีวิต…ตรงหน้า
ให้พ้นจากห้วงทุกข์
……
อ่านเรื่องนี้จบ
ทำให้ฉันนึกถึงนิทานเซนเรื่องหนึ่ง
มีพระเซนสองรูป เดินธุดงค์ไปเจอหญิงสาวแต่งตัวสวยงามคนหนึ่ง
เธอยืนเก้ๆกังๆ ไม่กล้าเดินข้ามแอ่งโคลน เพราะกลัวจะเปรอะเปื้อน
พระรูปแรกเดินตรงเข้าไปอุ้มผู้หญิงข้ามไปอีกฝั่ง
หลังจากนั้นพระทั้งสองก็เดินทางต่อไปโดยไม่ได้พูดอะไรกัน
ครั้นถึงเวลาค่ำวันนั้น พระรูปที่สองก็กลั้นใจไม่อยู่ จึงหลุดปากออกมาเป็นเชิงตำหนิพระรูปแรกว่าไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวสตรี มันไม่เหมาะสม ทำไมถึงทำเช่นนั้น?
พระรูปแรกกล่าวตอบว่า
“ เราวางหญิงนั้นไว้ตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว ท่านยังแบกมาถึงเดี๋ยวนี้อีกหรือ? ”
………
ในชีวิตประจำวัน บางทีเราอาจเผลอยึดติดกับ “ความถูกต้อง”
จนหลงลืมความเมตตา…เฉพาะหน้า
ครูบางคนจึงยังทำโทษนักเรียนที่มาสาย โดยไม่ได้ถามเหตุผล
(ทั้งที่นักเรียนคนนั้นอาจไปช่วยคนแก่ข้ามถนน จึงมาสาย )
หรือ
กรณีที่ ชุมชนชาวพุทธ ออกมาต่อต้านกิจกรรมทางศาสนาอื่นๆ
เพียงเพราะต้องการ ‘ปกป้องศาสนา’
โดยไม่พยายามรับฟังหรือทำความเข้าใจเหตุผลของอีกฝ่าย?
…….
มี Quote อันนึงของท่านติช นัท ฮันท์ ที่ฉันชอบ…
“ การเข้าใจ คือ การโยนความรู้ของตัวเองทิ้งไป ”
…….
ในเรื่องนี้
ศิลปิน มองดูแมวน้อย แม้ไม่ได้คุยกันสักคำ
...แต่กลับเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง
หลวงพ่อ คุยกับศิลปิน ต่อว่าเขาที่ไม่ทำตามหลักการ
…ทั้งที่ยังไม่เข้าใจเขา
…………………..
……………………………….
ฉันขอจบรีวิวนี้ด้วยคำถามสั้นๆ (หลังจากรีวิวซะยาวเหยียด ^^”)
“ระหว่าง ศิลปิน กับ หลวงพ่อ
ณ ขณะนั้น เธอคิดว่า…..ใครเข้าใกล้ ความเป็นพุทธะมากกว่ากัน? ”
…….
04/02/22
1 บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
รีวิวหนังสือ
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย