5 ก.พ. 2022 เวลา 14:53 • ปรัชญา
ตัวอักษร 2 บาท กับคำว่าเพื่อน ของคนคิดมาก
ตั้งแต่จำความได้ ผมรู้ตัวเองมาตลอดว่าผมเป็น “เด็กคิดมาก”
ในวัยเรียน ไม่ว่าจะชั้นอนุบาล ประถม มัธยม หรืออุดมศึกษาผมก็มีเพื่อนนะ โดยเฉพาะในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยก็เป็นคนที่ชอบทำกิจกรรม มีทั้งเพื่อนในคณะและนอกคณะ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังรู้สึกตัวมาตลอดว่า ไม่เคยมี “เพื่อนสนิท” หรือ “คู่หู” ที่ไปไหนไปกันสองคนเสมอ และแม้จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มี โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงานด้วยแล้วยิ่งห่างไกลจากคำว่า “สนิท” ส่วน “เพื่อนบ้าน” หรือ “เพื่อนเล่นแถวบ้าน” นี่ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะวัยใด
1
ในทุกครั้งที่เห็นหรือรู้สึกว่าเพื่อนคนไหน หรือใครกับใครสนิทกันเป็นพิเศษและผมมองว่านั่นคือเพื่อนสนิทกันแล้วล่ะก็ ผมจะมีกำแพงโดยรู้ตัว เพราะไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปสนิทด้วย รู้สึกถึงทั้งความเป็นส่วนเกินหรือตัวสำรองอะไรทำนองนั้น และอีกอย่าง คือไม่อยากไปขอแบ่งหรือแย่งความสนิทสนมดีๆ นั้นมา เพราะเชื่อว่าสิ่งที่เห็นนั้นดีอยู่แล้ว
1
มันอาจจะฟังดูแปลกๆ แต่เมื่อมาวิเคราะห์ตัวเองในตอนที่โตเป็นผู้ใหญ่ (หรืออาจจะเป็นแค่เด็กตัวโตในตอนนี้) ก็พอเดาตัวเองได้ว่า การที่ผมคาดหวังในความเป็นเพื่อนซี้และให้นิยามกับคำว่าเพื่อนที่จะต้องเป็นเรื่องของคนสองคนที่สนิทสนมกันมากๆ ชนิดที่ไม่มีอะไรมาแทรกกลางเท่านั้น... “เป็นการคาดหวังที่ผิดหรือมากเกินปกติไป”
1
ถึงปลายปี 2564 ต่อต้นปี 2565 ที่มีคำว่า “ฉากทัศน์” เกิดขึ้นเป็นคำใหม่ ซึ่งหมายถึงการวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อคาดหมายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้เห็นเป็นฉากๆ ขณะที่ผมบรรยายถึงความคิดของตัวเองอยู่นี้ คำว่าฉากทัศน์แบบย้อนกลับก็เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนความเป็นจริงในอดีต
ผมวิเคราะห์ไปว่า หรือผมเป็น “เด็กคิดมาก” จึงสร้าง “ฉากทัศน์” ด้วยการเอาความรู้สึกและความคาดหวังแบบเฉพาะเจาะจง กำหนดเป็นนิยามความเป็นเพื่อนซี้ในแบบของผมที่ผิดธรรมชาติ จึงทำให้ "scenario" หรือแบบจำลองเหตุการณ์ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง ไม่ว่าจะสิบ ยี่สิบ หรือสามสิบปีต่อมา นั่นคือผมเองที่สร้างกับดักความคิด โดยโยนคำว่าเพื่อนซี้ไว้ในห้องหัวใจที่คับแคบ ประเภทที่ “ถ้าไม่ใช่อย่างที่คิดก็คือไม่ใช่”
ชีวิตไม่ได้เลวร้ายเกินไป แม้จะไม่มีเพื่อนสนิท แต่ผมยังมีตัวอักษรเป็นเพื่อนที่ให้เล่นด้วยได้ตลอดเวลา การได้เขียนกลอนหรือละเมอเพ้อไปตามประสาเด็กว่าได้เป็น “กวี” ก็เป็นช่องทางที่ทำให้ผมได้สร้าง “ฉากทัศน์” ที่แจ่มชัดและง่ายกว่าการคิดถึงว่าต้องมีเพื่อนสนิท แม้จะไม่มีอะไรมารองรับว่าจะเกิดขึ้นจริง แต่มันก็เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นคนเดียวได้ และบุคลิกชนิดที่ชอบทำอะไรคนเดียว อยู่คนเดียวได้ ก็ยังคงอยู่อย่างติดแน่น
1
แต่รู้อะไรไหม! จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมหลงใหลในเสน่ห์ของตัวอักษรและยึดไว้เป็นเพื่อนอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ก็หนีไม่พ้นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญและค้นหาความหมายของมันอยู่เสมอ การได้อ่านตัวอักษร 2 บาท ในสมุดบันทึกของพี่สาวของผมหนึ่ง ในขณะที่ผมน่าเรียนอยู่แค่ชั้นประถม 4 หรือ 5 ยังทำให้ผมรู้สึกขอบคุณพี่สาว และเจ้าของบทกลอนที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร...
คำว่าเพื่อนเตือนใจให้ฉันคิด
คำว่ามิตรคิดอยู่มิรู้หาย
คำว่ารักรักเพื่อนไม่เสื่อมคลาย
คำว่าสายสัมพันธ์นั้นมั่นคง
2
แม้ทุกวันนี้ผมจะมีเพื่อนดีๆ หลายคน แต่ด้วยเพราะเป็นคนคิดมากไม่เคยเปลี่ยน ทุกวันนี้ผมจึงยังไม่แน่ใจว่า ผมเข้าใจ ให้ใจ ได้ปฏิบัติต่อเพื่อนอย่างที่ควรจะเป็นและดีพอหรือยัง หวังว่าสักวันเพื่อนของผมสักคนจะให้คำตอบกับผมได้...?
#แล้วจะมาเล่าต่อ
โฆษณา