5 ก.พ. 2022 เวลา 14:49 • หุ้น & เศรษฐกิจ
พวกเรารีวิวหุ้นตัวที่ 62 - Netflix อนาคตการเติบโตกับสงครามสตรีมมิ่งที่โดนรุมกินโต๊ะ
#ผมทำกลุ่มปิดใน Facebook สำหรับการลงทุนหุ้นอเมริกาและจีนโดยมีค่าสมาชิกรายปีอยู่ที่ 2,999 บาทต่อคน
สมัครเข้าร่วมกันได้ที่ www.billionairevi.com/registration
<ตัวอย่างการรีวิวหุ้น>
Netflix เริ่มให้บริการ Streaming ตั้งแต่ปี 2007 โดยมี Reed Hasting ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารชื่อดังเป็นคนปลุกปั้นบริษัทขึ้นมาจนปัจจุบันมี Market Cap อยู่ที่ $170,000 ล้าน ถือได้ว่าเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม Video Streaming
ปัจจุบัน Netflix มีจำนวนสมาชิก 223 ล้านคนทั่วโลก เพิ่มขึ้น 9% YoY ถึงแม้ว่าตลาดในสหรัฐอเมริกาเริ่มจะอิ่มตัว แต่ Netflix ก็ยังสามารถหาลูกค้าเพิ่มจากภูมิภาคอื่นได้ไม่ว่าจะเป็นจากฝั่งยุโรป เอเชีย และแอฟริกา
 
#สภาวะตลาด
 
สัดส่วนการใช้เวลาบนหน้าจอโทรทัศน์ต่อวันของประชากรสหรัฐในปัจจุบันส่วนใหญ่ ผู้คนยังใช้เวลากับ Cable TV มากที่สุดถึง 38% ในส่วนของสตรีมมิ่ง 28% โดย Netflix มีส่วนแบ่งสายตาการดู 6% ของสตรีมมิ่ง เท่ากับ Youtube เหนือกว่า Prime Video ของ Amazon และ Disney+ (รูปที่ 1)
 
บริการสตรีมมิ่งเป็นหนึ่งใน Disruptive innovation ทั้งจากราคาที่ถูกกว่า ไม่ต้องเดินสาย และสามารถเลือกดูสิ่งที่ต้องการตอนไหน ที่ไหนก็ได้ แสดงให้เห็นว่าถึงแม้ตลาดจะค่อนข้างอิ่มตัว แต่Streamingก็ยังมีโอกาสในการแย่งส่วนแบ่งตลาดได้อีกมาก
เราลองมาดูในส่วนแบ่งตลาดของอุตสาหกรรม SVOD Streaming ในอเมริกากันบ้าง จะพบว่ามีผู้ให้บริการใหญ่สามรายที่ครองส่วนแบ่งส่วนใหญ่ของตลาดประกอบไปด้วย Netflix, Hulu และ Disney+ โดยมีส่วนแบ่งตลาดที่ 31%, 20% และ 17% ตามลำดับ
 
หากพิจารณาดูแล้ว จะพบว่า Disney+ และ Hulu ไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัวของNetflixเลย นอกจากนี้Disneyยังเป็นเจ้าของHuluในสัดส่วนถึง 2/3 และอีก 1/3เป็นของ Comcast ซึ่งตรงนี้เองทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่ตรงไปตรงมา Disney โฟกัสไปที่การพัฒนาบริการ Disney+ เนื่องจากบริษัทเป็นเจ้าของเองทั้งหมด จะเห็นได้จากการที่ Disney เริ่มถอดเนื้อหาออกจาก Hulu และนำมาใส่ใน Disney+แทน ซึ่งจะส่งผลให้ Huluอ่อนแอลง และเริ่มเสียส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น
Disney+ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีตั้งแต่ช่วงเปิดตัว และสามารถเพิ่มจำนวนลูกค้าได้อย่างรวดเร็วในช่วงแรก เนื่องจากมีฐานแฟนคลับ Marvel และ StarWars เดิมอยู่แล้ว โดยบริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดสมาชิกที่ 230-260 ล้านคนภายในปี 2024
ถึงแม้ว่าบริษัทจะตั้งเป้าหมายไว้ค่อนข้างสูง แต่Disney+ ก็ยังไม่สามารถแข่งขันกับNetflixได้ เห็นได้จากการเติบโตที่ช้าลง โดยในไตรมาสล่าสุดสามารถเพิ่มยอดsubsได้เพียง 2.1 ล้านคน และที่แย่ไปกว่านั้นคือ ARPU ค่อนข้างต่ำที่เพียง $4.12 ลดลงจาก $4.52 ในไตรมาสก่อนหน้า และยังมี Churn rate ที่มากกว่าNetflix
 
สาเหตุที่ทำให้ Netflix มี Churn rate ต่ำกว่าคู่แข่งรายอื่น เนื่องจาก Netflix ให้บริการสตรีมมิ่งก่อนผู้ให้บริการรายอื่น จึงมีฐานลูกค้าที่อายุมากกว่า ซึ่งจากสถิติแล้วพบว่า Churn rate จะต่ำลงสวนทางกับอายุของสมาชิกที่มากขึ้น (รูปที่ 2)
การมี Churn rate ที่ต่ำกว่า หมายความว่าบริษัทสามารถนำเงินไปทุ่มให้กับการหาลูกค้าใหม่ได้มากกว่า แทนที่จะต้องนำเงินเหล่านั้นมาลงทุนหาลูกค้าเพื่อทดแทนลูกค้าที่เลิกใช้บริการไป นั่นหมายความว่า Netflix จะสามารถเติบโตได้เร็วกว่า
 
ผู้ให้บริการรายอื่นรวมถึงDisney+เอง อาจสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดใน Niche market ได้ โดยเฉพาะDisney+เองที่มีฐานแฟนคลับ Marvels และ StarWars ที่แข็งแรง แต่สำหรับตลาดmassในภาพรวมแล้ว Netflix จะยังคงเป็นผู้นำต่อไปได้
หากพิจารณาคู่แข่งอย่าง AmazonPrime หรือ ApppleTV จะพบว่าบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ไม่ได้ "FOCUS" ในบริการสตรีมมิ่งหรือมีความเชี่ยวชาญด้านสตรีมมิ่งเท่า Netflix
#วิเคราะห์การแข่งขัน
หนึ่งในจุดแข็งที่สำคัญที่สุดของ Netflix คือ ขนาด หากมองในแง่ของจำนวนcontents จะเห็นได้ว่าNetflixมีคอนเทนต์มากกว่าคู่แข่งรายอื่น ครอบคลุมทุกช่วงอายุและความชอบของลูกค้า แต่ Disney+ นั้นมีเพียงรายการจาก Disney และพึ่งพา Marvels และ StarWars เป็นหลัก
 
ในความคิดของผม มองว่าการผลิต Original Contents จำนวนมากของ Netflix ในช่วงแรกโดยเน้นไปที่ความเร็วมากกว่าคุณภาพเสียอีก (Speed over Efficiency) ทำให้บริษัทสามารถทดลองตลาด จับเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคและเก็บข้อมูลได้ ซึ่งจะเป็น growth driver และกลายเป็น Competitive advantange ที่สำคัญมากในยุคที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงคอนเทนต์อะไรตอนไหนก็ได้
การที่ Netflix สามารถที่จะผลิตคอนเทนต์ได้จำนวนมาก ลองผิดลองถูกได้มาก เป็นผลมาจากการเป็น First Mover ในตลาดสตรีมมิ่ง การพัฒนา AI ของตนเองทำให้สามารถแนะนำคอนเทนต์ที่ผู้บริโภคต้องการได้ ไม่ต้องเสียเวลาไปหาอะไรดูในกองคอนเทนต์จำนวนมาก
Netflix เป็นผู้ให้บริการสตรีมมิ่งรายแรกๆที่นำ Recommendation engine เข้ามาใช้ในapplicationของตนเอง ซึ่งพัฒนาโดยใช้ Maching learning นั่นหมายความว่ายิ่งมีผู้ใช้บริการมาก ระบบก็จะยิ่งแนะนำได้ดีขึ้น โดย Netflix เริ่มเก็บข้อมูลมาตั้งแต่ก่อนให้บริการสตรีมมิ่งเสียอีก นั่นทำให้มีข้อมูลมากกว่าคู่แข่ง จำนวนสมาชิกที่มากกว่าเจ้าอื่น ยังทำให้มีข้อมูลมากกว่าอีกด้วย ในเรื่องของ AI/ML ที่พึ่งพาข้อมูลและระยะเวลาในการเรียนรู้เป็นหลักในการพัฒนานั้น ส่งผลให้ระบบแนะนำรายการของNetflix มีประสิทธิภาพและล้ำหน้ากว่าคู่แข่งมาก
Netflix เคยเป็นที่รู้จักในฐานะ Niche streming ที่มีแต่คอนเทนต์ต้นทุนต่ำ แต่เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น จึงได้ลงทุนจำนวนมากไปกับการสร้างคอนเทนต์ของตนเอง โดยล่าสุดได้พัฒนาสตูดิโอของตนเองที่ Los Angeles และ Albuquerque
 
Original contents ของ Netflix ได้รับ Emmys Awards มากที่สุดสำหรับผู้ให้บริการหนึ่งราย
 
แต่ภายในระยะเวลาแค่สามปีนี้เอง ภาพยนต์ของNetflixได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัล Oscar ถึง 5 เรื่อง ในสาขา Best Pictures และยังประสบความสำเร็จมาในแง่ของจำนวนคนที่เข้ามารับชม
สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้บริโกคพึงพอใจกับบริการของ Netflix ซึ่งความพึงพอใจนี้เองทำให้เกิด Product stickiness สุดท้ายจึงทำให้ Netflix สามารถอัพราคาค่าบริการของตนเองได้
สุดท้ายแล้วทุกสิ่งจะกลายเป็น Flywheel effect เมื่อNetflixมีคอนเทนต์มากขึ้น คุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าจึงพึงพอใจมากขึ้น บริษัทสามารถเพิ่มราคาและมีเงินในการผลิตคอนเทนต์มากขึ้น
เมื่อNetflixใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้ Barrier to entry ในอุตสาหกรรมสตรีมมิ่งสูงมากขึ้นเช่นเดียวกัน คู่แข่งต้องใช้เงิน ใข้เวลา และประสบการณ์ที่มากขึ้นเพื่อที่จะมาแข่งขันในตลาดนี้
แม้แต่ Disney+ ยังประสบปัญหาในการเพิ่มคอนเทนต์ของตัวเองเพื่อสู้กับ Netflix
ในปีที่ผ่านมา Netflix ยังประสบความสำเร็จอย่างมากในการผลิต Original Content ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ จะเห็นได้จากความสำเร็จของ Squid Games ซึ่งในสมัยก่อนลูกค้าฝั่ง US Canada EU มักไม่ชอบหนังSubtitles
สุดท้ายแล้วด้วยความแข็งแกร่ง และขนาดที่ใหญ่ขึ้น จะทำให้ Netflix กลายเป็น Winner take most ในอุตสาหกรรมนี้
#โอกาส
ปัจจุบันบริษัทเน้นขยายฐานลูกค้าไปยังฝั่งเอเชีย (ยกเว้นจีน) โดยลูกค้าจากฝั่งเอเชียยังมีอยู่น้อยมากเพียง 32.6 ล้านรายเท่านั้น
 
โดยเฉพาะประเทศอินเดียที่เป็นตลาดขนาดใหญ่แต่ยังมีลูกค้าอยู่น้อย โดยบริษัทคาดการณ์ว่าsusbscribers 100ล้านคนถัดไปจะมาจากอินเดีย
#ความเสี่ยง
✅ อุตสาหกรรมสตรีมมิ่งมีการแข่งขันสูงมาก ทั้งจากคู่แข่งในอุตสาหกรรมโดยตรง และจากพวก Social Media เช่น TikTok Youtube และ Facebook ที่เข้ามาแย่งสายตาและเวลาไป ถ้าคนเริ่มใช้เวลากับคู่แข่งมากขึ้น ก็อาจจะกระทบต่อการต่อสัญญาสมาชิกเนื่องจากใช้งานแล้วไม่คุ้มค่าเพราะไม่ค่อยได้ดู นอกจากนี้การแข่งขันยังทำให้เกิดการชะลอตัวลงของการเพิ่มลูกค้าใหม่อีกด้วย
✅ Netflix ใช้เงินลงทุนไปกับการผลิตคอนเทนต์จำนวนมากและมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่ารายได้ของบริษัทจะมากขึ้นแต่สัดส่วนเงินลงทุนก็ไม่ได้มีแนวโน้มที่จะลดลงแต่อย่างใด (รูปที่ 3) ยิ่งมีการแข่งขันรุนแรง เงินลงทุนอาจจะเพิ่มขึ้นเยอะและฉุดให้บริษัทอัตราการทำกำไรจากดำเนินงานลดลง (Operating Profit)
#ติดตามการวิเคราะห์งบการเงินกับมูลค่าที่เหมาะสมได้ที่กลุ่มปิดครับ
Sources:
Company Investor Relation
Morningstar
SeekingAlpha
Macrotrends
โฆษณา