6 ก.พ. 2022 เวลา 12:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ
[#สรุปLive] "ระเบิดมหาประลัย ไตรมาส 2" - อ.ทวีสุข ธรรมศักดิ์ | Money Chat Thailand
(สรุปจากคลิป https://youtu.be/WkHxy2sJPts)
2
https://youtu.be/WkHxy2sJPts
*** "การขึ้นดอกเบี้ย" (เพื่อคุมเงินเฟ้อ) จะทำให้ต้นทุนทางการเงินทุกอย่างขึ้นมา จนเกิดภาวะ "cash crunch" และระเบิดระดับ supernova ในรอบนี้ ***
จากการระบาดของโควิดที่ผ่านมา ทำให้การเกิดวิกฤตเศรษฐกิจถูกยืดเยื้อออกมา เพราะมีการพิมพ์เงิน (QE) อัดสภาพคล่องมหาศาล เพื่อพยุงตลาดหุ้นและระบบธนาคารไม่ให้ล้ม
สำหรับประเทศไทย น่ากลัวเรื่อง "หนี้ครัวเรือน" เพราะหลายคนกู้กันจนเต็มวงเงิน ซึ่งการพิมพ์เงินอัดฉีดจะไม่ใช่คำตอบในการแก้ปัญหาอีกต่อไป
"ค่าเงินสวิซฟรัง (CHF)" ถือเป็นสกุลเงินที่ปลอดภัยและมีเสถียรภาพมากที่สุดในโลก (เรียกได้ว่าเป็น Untouchable land หรือเป็นดินแดนที่มีความปลอดภัยสูง)
ในตลาดหุ้นสหรัฐ ยังมีหุ้นกลุ่ม Big Tech ที่ค้ำยัน index ไม่ให้ล้ม แต่หุ้นเทคใหม่ๆ เล็กๆ ลงมาเยอะมากแล้ว (จากเดิมคนให้ premium เยอะ ทำให้ตอนลงก็มี discount ลงมาเยอะมาก) พอลงถึงจุดหนึ่งที่ value เหมาะสม กลุ่ม Big player ก็จะเขามาเพิ่มทุน หรือซื้อหุ้นคืน ในราคาต่ำๆ ส่วนรายย่อยก็ทยอยขายเปลี่ยนมือ
"ทางรอดของธุรกิจยุคนี้" คือต้อง "synergy" และ "Leverage" value ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในอุตสาหกรรมยุคถัดไป (การเติบโตแบบเดี่ยวๆ จะไม่มีอีกต่อไป) อย่างเช่น AIS จับมือ Gulf สร้างธุรกิจ Data center ซึ่งเป็น "New Business" บนโครงสร้าง Infrastructure ของตัวเอง (เป็นโอกาสที่จะใช้ New business แก้ปัญหา Pain point บางเรื่องของธุรกิจเดิม)
*** "จุดอันตรายของฟองสบู่แตก" ต้องดูพันธบัตร 2 ปี และ 10 ปี ที่ระดับ 3% ซึ่งตอนนี้กำลังฟอร์มตัวทำ "inverted yield curve" (เป็นสัญญาณหนึ่งที่บอกถึงวิกฤตเศรษฐกิจ) เมื่อดอกเบี้ยขึ้น NAV จะลด (สวนทางกัน) ทำให้คนจะแห่เทขายตราสารหนี้ แห่ถอนเงินสด จนเกิดภาวะ cash crunch
*** ให้จับตา "ไตรมาส 2-3 ของปีนี้" เป็น critical point ของทั้งโลก ถ้ายังไม่ผ่าน เงินเฟ้อยังสูง และดอกเบี้ยวิ่งขึ้นแรง จะเป็นปัญหาใหญ่ ฟองสบู่ (ตลาดเงินและตลาดทุน) แตกได้ (การขึ้นดอกเบี้ยแค่ 1% ก็หนักแล้ว) เนื่องจากตลาดเงินหรือตราสารหนี้ เป็น supply chain ของระบบการเงินโลก การแห่ถอนเงินสด ทำให้ cash ในการ rollover ตราสารหนี้ ลดลงไป เกิดการ Defalt หรือผิดนัดชำระหนี้ได้
1
*** Cryptocurrency และ Bitcoin อาจเป็นหนึ่งใน "ตัวจุดขนวน" ของวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ โดยเฉพาะเรื่อง Regulator ที่ทำให้เกิดข้อจำกัดค่อนข้างเยอะ ส่วนตลาด "Digital asset" ที่ตลาดหลักทรัพย์เปิดเอง คือการนำสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ เช่น bond หรือ equities มาออกเป็น digital asset ที่มีกฎหมายรองรับ มาทำธุรกรรมบนกระดานของตลาดหลักทรัพย์ ไม่ใช่กระดานของเอกชนเหมือนคริปโต ซึ่งอาจทำให้เม็ดเงินในตลาดคริปโตเริ่มลดลง
*** อาจารย์มองว่า Fed อาจปล่อยให้ตลาดพังลงไปก่อน (เหมือนช่วงต้นปี 2020) ให้ผู้คนหลาดกลัวก่อน แล้วค่อยหาทางรักษาตลาด โดย USA อาจจะรอดบนต้นทุนของประเทศอื่นๆ คือการเอาความเสี่ยง (พันธบัตรของสหรัฐ) ไปยัดใส่มือให้กับธนาคารกลางแต่ละประเทศ (เหมือนจับแต่ละประเทศเป็นตัวประกัน) โดยจากการ Mark to market ของธนาคารกลางทั่วโลก จะส่งผลทำให้ Currency ของแต่ละประเทศ (ที่ถือพันธบัตรสหรัฐ) อ่อนลงไปเรื่อยๆ (แบบสมัครใจ) จนทำให้เกิดเงินเฟ้อตามมา และเกิดสงครามค่าเงินอ่อนไปเรื่อยๆ (แข่งกันอ่อนค่าเงินของตัวเองเพื่อส่งออก) นับจากนี้ไป
1
*** Digital Yuan จะทำให้การทำธุรกรรมต่างๆ ไม่ต้องผ่านระบบ SWIFT (เป็นแบบ wallet to wallet และเป็นระบบ real-time transaction) ทำให้ไม่จำเป็นต้องมี USD และไม่ต้องกลัว USA แบน ส่งผลให้ Demand ต่อ USD ลดลงไปอย่างมาก (คาดว่าจะเห็นผลมากในช่วงกลางปี)
ถ้าเศรษฐกิจไทยจะดี ต้องให้ท่องเที่ยวกลับมาฟื้น แต่การท่องเที่ยวจีนและทั่วโลกลดลงหมด ทำให้การหมุนของสภาพคล่องในระบบลดลงอย่างมาก (ทั้งจากการท่องเที่ยว ธุรกิจ และ logistic ที่ลดลง) อาจารย์มองว่า ต่อให้เศรษฐกิจไทยโตกว่า 3% จริงตามที่สภาพัฒน์คาดการณ์ ก็ยังไม่พอจ่ายดอกเบี้ย
*** "ทางออกของวิกฤตรอบนี้" คือการเปลี่ยนไปสู่อุตสหกรรม "High technology" อย่างประเทศจีนที่ราคาแพงไปเลย อย่างเช่น Metaverse ซึ่งจะทำให้การจ้างงานผู้คนแพงขึ้น เพราะฉะนั้นทางรอดคือ เราต้องปรับตัวเปลี่ยนผ่านเข้าไปสู่ "New economy" ให้ได้ เพื่อให้เกิดรายได้สูงให้ได้
ถ้า Digital Baht เชื่อมกับ Digital Yuan จะทำให้เรารอดในรอบนี้ได้ จากการท่องเที่ยว การค้าต่างๆ ที่สะดวกและง่ายขึ้น คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะเริ่มกลับมาหลังจากช่วงปลายปีนี้ และคาดว่า Digital Baht จะเกิดขึ้นช่วงไตรมาส3 ทำให้เชื่อมหลายๆ ด้าน
ในปีนี้ จีนจะทำให้ความเป็น super power ของ USA ลดลงอย่างฉับพลัน ลด demand ของ USD ลงอย่างมาก ทำให้ USA พยายามใช้ Global politics สร้าง "สงครามใหญ่ (Hot war)" เพื่อพยายามรักษาความเป็นมหาอำนาจของตัวเองไว้ เพื่อรักษาเศรษฐกิจตัวเองไว้ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งตัวเร่งการเกิดวิกฤตรอบนี้ (ตอนนี้หลายๆ ประเทศมีการซ้อมรับมือสงครามเต็มรูปแบบแล้ว)
ประเทศไทย อยู่ระหว่าง 2 ขั้วอำนาจ การเมืองจะวุ่นวาย และได้รับผลกระทบแรงจากการแทรกแซงทุกมิติ ทั้งจากจีนและสหรัฐ อีกทั้งความขัดแย้งจากการการที่เลือกฝ่ายยังกระทบไปสู่ระดับประชาชน รายย่อยอีกด้วย อย่างเช่น การค้าขายสินค้าเกษตร กับทางประเทศจีน
จีนไม่สนใจ GDP แล้ว แต่จะหันไปโฟกัสแก้ปัญหาหนี้เสียแทน โดยการเปลี่ยนผ่านไปสู่ New Technology และ New Economy โดยใช้ Digital Yuan เป็นตัวนำ ซึ่งจะทำให้รายได้ของคนจีนเพิ่มขึ้น เมื่อรายได้คนจีนเพิ่มขึ้น หนี้ที่มีอยู่ก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป ขณะที่ตลาดหุ้นจีนก็จะเติบโตจากภายใน ด้วยเม็ดเงินของคนในประเทศเอง
(จีนปิดประเทศอีกปีก็ไม่เป็นปัญหา แต่สิ่งสำคัญคือ ถ้าจีนเปิดประเทศใครจะได้ประโยชน์ ไทยจะได้ประโยชน์จากจีนอย่างไร?)
*** เทรนธุรกิจในอนาคตจะโฟกัสด้าน "เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม" และ "เป็นมิตรต่อโลก" มากขึ้น เน้นการทำธุรกิจ และ "Supply chain" ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น (ซึ่งจะมีผลต่อการที่จะได้รับการปล่อยเงินกู้จากธนาคาร)
*** "สัญญาณวิกฤต" ต้องติดตามเดือนมีนาคม ว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% หรือ 0.50% ถ้าขึ้น 0.50% เป็นสัญญาณไม่ดี ถ้าขึ้น 3 หรือ 4 ครั้ง ยังโอเค แต่ถ้าขึ้น 5 ครั้งเริ่มไม่ดี ถ้าไตรมาส2-3 เงินเฟ้อยังไม่ลง สิ้นปีอาจจะเกิดวิกฤตของตลาดทุนและตลาดเงิน trigger ที่จะทำให้เกิดระเบิดได้คือ อัตราดอกเบี้ยเกิด "inverted yield curve" ช่วง3-3.5% ตั้งแต่ตราสารหนี้ระยะสั้นไปถึงระยะยาวหรือไม่?
ในส่วนของ "Property fund" ก็ต้องระวังและบริหารให้ดี ควรเริ่ม Short hedge position แล้ว ถ้าตลาดแค่ปรับฐานเล็กยังโอเค แต่ถ้าเกิด crisis ใหญ่ ธนาคาจะล้ม (เริ่มจากเจ้าเล็กๆ แต่เจ้าใหญ่ อย่างเช่น GS น่าจะยังยืนได้) การที่ธนาคารล้มจะทำให้ supply chain ระบบการเงินหายไปทันที นับเป็นจุดที่อันตรายที่สุดของวิกฤต ต้องเตรียมรับมือให้ดี
*** สรุปจากคลิป https://youtu.be/WkHxy2sJPts
#คลินิกการลงทุน
โฆษณา