6 ก.พ. 2022 เวลา 12:27 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เติมความรู้สู่ความมั่งคั่ง
เพิ่มความมั่งคั่งด้วยแผนการเงิน กับ WDC
ก่อนเริ่มบทความผมขอเน้นย้ำเป้าหมายของบล๊อคนี้อีกครั้ง คือ เราจะลงทุนในหุ้นอย่างไรให้ไม่เจ๊ง โดยที่คอนเซปนั้นง่ายมาก คือ หาหุ้นดี ซื้อแล้วถือไว้ ทำวนไปเรื่อยๆ และมีชีวิตอยู่ให้นานพอ ง่ายๆแบบนี้เลย อย่างไรก็ดีสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการลงทุนในตัวเราเอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมเขียนขึ้นมาทั้งหมดก็เพื่อสนับสนุนให้ผมเองรวมถึงคุณผู้อ่านทุกคน “เล่นหุ้นยังไงให้ไม่เจ๊ง”
รายละเอียดที่ผมจะเล่าให้ฟังเป็นสัมมนาออนไลน์ซึ่งจัดโดย WDC ที่ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมเมื่อเช้า ยอมรับตามตรงว่าก่อนเข้าไม่ได้คาดหวังอะไรเลยกับสัมมนาฟรีตัวนี้ แต่พอผู้บรรยายได้เริ่มพูดเท่านั้นแหละ หึ่ยยยย ที่มันข้อมูลที่ไม่ธรรมดาเลยนะ มีประโยชน์มากๆๆ แบบ กอไก่ 10 ตัว ผมจึงได้รวบรวมสาระสำคัญเก็บบันทึกไว้ และนำมาแบ่งปันให้ผู้ที่รักชอบในงานเขียนของผมได้ติดตามกัน
ตัวเนื้อหาเริ่มที่ ถ้าเราอยากจะมีเงิน passive income 50,000 บาทต่อเดือน (เงินรายได้เข้ามาโดยที่ไม่ต้องทำงาน) ต้องทำอย่างไร???
วิธีการมีดังนี้
ถ้าคุณมีความสามารถในการทำกำไร 1% ต่อปี คุณต้องมีเงินต้น 60,000,000 บาท
หรือ
ถ้าคุณมีความสามารถที่ 5% คุณจะต้องมีเงินต้น 12,000,000 บาท
หรือ
ถ้าคุณเก่งมาก และทำได้ 10% คุณจะต้องการเงินต้นเพียง 6,000,000 บาท
ถึงจุดนี้เราก็ต้องประเมินว่าเรานั้นมีความเหมาะสมที่จุดไหน แต่สำหรับผมเองแล้วจุดที่ 5% นั้นเป็นจุดที่มีความเป็นไปได้สูงกว่าวิธีอื่น
จากอดีตที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 11.7% ต่อปี
แต่อย่ามองแค่ capital gain ที่เหมือนจะได้เงินมากนะตรับ ตัว Divident yield หรือ เงินปันผล เองนั้นก็ให้ผลตอบแทนที่ดีไม่แพ้กัน
อย่าไปยึดติดกับความหวือหวาของแคปปิตอลเกน
เพราะจากสถิติที่ผ่านมาของตลาดหุ้นไทย capital gain เฉลี่ยได้ประมาณ 6% ในขณะที่ divident yield ให้เฉลี่ยที่ 4% ซึ่งไม่ได้แตกต่างกันมาก
ตัว Property Fund (PF) หรือ REITs ของประไทยให้ผลตอบแทน 4-8% ซึ่งถือว่าดีมาก
การหาเงินต้นที่ใช้ลงทุนก็ได้มาจาก การหาและการออม แต่ถ้าหาเงินเก่ง แต่ใช้เงินเก่งกว่าก็ไม่เหลือเก็บ ดังนั้นการออมก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
สิ่งสำคัญ ต้องมีวินัย ออมก่อน อย่ารอเหลือแล้วค่อยออม เพราะมนุษย์เรานั้นมีความสามารถในการใช้เงินเป็นอย่างมาก “มีวินัยในการออมเงินก่อนใช้”
การที่เรามีรายได้ทางเดียว ก็เสมือนเราอยู่ห่างจากความจนเพียงก้าวเดียว ดังนั้น Multi channel income หรือการมีรายได้จากหลายช่องทางจึงถือได้ว่าดีกว่ามากๆ เช่น รายได้จากเงินเดือน จากปันผล จากค่าเช่า จากดอกเบี้ย เป็นต้น
คนรวยตอบเรื่องรายได้ยาก เพราะมีเงินเข้าจากหลายช่องทาง บางทีมีเงินเข้าแต่ก็ยังไม่รู้ว่ามาจากช่องทางไหน แต่รายจ่ายนั้นง่ายเพราะคนรวยจะรู้ว่าตนเองนั้นมีรายจ่ายอะไรบ้าง ตรงไหน เท่าไหร่
ตรงกันข้าม กับ คนจน
เพราะถ้าพูดถึงรายได้ คนจนจะตอบได้ไวมาก เพราะมีรายได้ทางเดียว ส่วนรายจ่ายนั้นเยอะมากจนจำไม่ไหว
การจดบันทึกใช้จ่ายจะช่วยแก้ปัญหาการไม่มีเงินเหลือได้มาก และเดี๋ยวนี้ยิ่งง่ายเพราะมีแอพช่วยจด เช่น wally เป็นต้น อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่การจดการใช้จ่าย แต่มันคือการจดนิสัยทางการเงิน ถ้าคุณลองทำสามเดือนรับลองว่าคุณจะมีเงินเหลือเก็บมากขึ้น เพราะคุณจะเริ่มเห็นค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของคุณเอง แล้วมันจะค่อยๆหายไปเองเพราะเรารู้ทันมัน
เราควรเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน 3-6 เดือน แล้วแต่ความเสี่ยง ในยามตกงานหรือเกิดวิกฤต เช่น โควิด19 ที่เรากำลังเผชิญกันอยู่นี้ อาชีพที่เคยมั่นคงก็ไม่มั่นคง คนที่ไม่น่าจะตกงานก็ตกงาน ฯ
ถ้างานเรามีความเสี่ยงมากเราก็ควรเก็บเงินไว้ 6 เท่าของรายจ่ายเช่น ถ้ามีรายจ่ายต่อเดือน 5,000 บาท ก็ให้เก็บเงินไว้ 30,000 บาท เป็นต้น หรือถ้างานเราไม่มีความเสี่ยงก็เก็บเพียง 15,000 ในกรณีเดียวกัน
แล้วเก็บไว้ไหนดี??
ควรเก็บในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง เช่น บัญชีดิจิตัลของธนาคารต่างๆ ที่ให้ดอกเบี้ย 1% หรือตราสารหนี้ T+1, T+2 (จะได้เงินหลังการขาย 2 วัน) ที่ให้ดอกเบี้ย 2-4%
ภาชนะทางการเงินของเราต้องไม่รั่ว
เพราะถ้าภาชนะของเรารั่ว เงินหรือความมั่งคั่งที่ใส่เข้าไปก็จะไหลออก
รู้รั่วที่ว่านั้นก็จะพวกอุบัติเหตุ ความเจ็บ ความตาย
เราต้องจัดการความเสี่ยง
สิ่งที่เกิดบ่อยแต่สูญเสียน้อย เราสามารถจัดการเองได้
ส่วนที่โอกาสเกิดน้อยแต่สูญเสียมาก เช่น ไฟไฟม้ บาดเจ็บหรือตาย ให้ทำการโอนย้ายความเสี่ยงไปให้ประกัน
พอเราจัดการความเสี่ยงและรอยรั่วหมดแล้ว เราจึงเริ่มสะสมความมั่งคั่ง
แล้วประกันซื้อตอนไหน???
ตอนนี้แหละ!!! เพราะตอนที่เราไม่มี ประกันเป็นสิ่งจำเป็นมากเมื่อเรามีความจำเป็นที่จะใช้เงิน เพราะตอนที่เรามีเงินแล้ว เราสามารจ่ายได้ ประกันจะไม่จำเป็นแต่เป็นเพียงทางเลือก
ไม่ใช่ประกันอะไรก็ได้ ผลตอบแทนกับเบี้ยจ่ายควรจะเหมาะกับความต้องการของเรา ถ้าเราไม่ถนัดในการคิดคำนวณพวกนี้ การมีมีผู้ดูแลที่รู้จริงก็จะช่วยได้มาก และตอนนี้ก็มีประกันแบบ ยูนิตลิ้ง ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดี
เงินจะเติบโตได้ขึ้นอยู่เพียง 2 อย่าง คือ อัตราผลตอบแทน และ เวลา
ตัวอย่าง เช่น ความหวือหวาของคริปโต อาจจะได้ 100% ในช่วงสองสามปี แล้วก็หายไป ไม่สู้ได้น้อยแต่ยาวอย่างกับบริษัทที่ทำงานจริงๆ ได้กำไรจริงๆ แล้วแบ่งผลตอบแทนให้เราในรูปปันผลไปเรื่อยๆ
หมายเหตุ: บิตคอยน์ กับ อีเทอเรี่ยมอาจจะได้รับข้อยกเว้น เพราะเรายังบอกอนาคตที่แน่ชัดของเหรียญ 2 สกุลใหญ่นี้ไม่ได้
เป้าหมายการลงทุน มี 3 อย่างที่เราจะต้องตอบให้ได้ก่อนการลงทุน เพราะถ้ายังตอบไม่ได้ถึงเป้าหมายแสดงว่าเรายังไม่พร้อมกับการลงทุน
เป้าหมายหลัก มีอยู่ 3 อย่าง ดังนี้
เพื่ออะไร? เท่าไหร่? ใช้เมื่อไหร่?
หมายเหตุ: ผมขอยกตัวอย่างตัวเองให้ฟังกันละกันนะครับ ผมลงทุนเพื่อให้มีอิสระภาพทางการเงิน คือทำงานที่อยากทำ ไม่ต้องทำเพื่อเงิน และขนาดพอร์ตหุ้นที่วางแผนไว้คือ 20 ล้านบาท โดยที่ไม่นำเงินออกมาใช้เลย
สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น กองทุนรวมนั้นเป็นทางเลือกที่ดี อายุน้อยๆ ให้เริ่มที่ SSF ก่อน ส่วน คนที่อายุ 45-50 ให้เลือก RMF
ในระยะยาวแล้วหุ้นให้ผลตอบแทนดีที่สุด แต่ธรรมชาติคือความผันผวน เราต้องลงทุนด่วยความเข้าใจ
DCA คือ เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากๆๆ คือตั้งเป้าไว้เลย ว่าเราจะซื้ออะไร แล้วซื้อเท่าไหร่ แล้วเราก็ซื้อไปเรื่อยๆทุกเดือนเท่านั้น เราจะได้ผลตอบแทนที่ดีมากๆ
จบแล้วครับ หวังว่าข้อมูลที่ผมรวบรวมมาให้คงเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านนะครับ
😊ลงทุนให้มีความสุขนะครับ😊
🏃ไปจ๊อกกิ้งกันสัก 10 นาทีเพื่อชีวีที่ยืนยาว🏃🏼‍♀️
โฆษณา