7 ก.พ. 2022 เวลา 10:38 • อาหาร
Yesterday Today Tomorrow
"โอ้กะจู๋" กลุ่มเพื่อนรัก ที่ค้นพบตัวเองจากงานเกษตรวิชาการ ด้วยแรงบันดาลใจในครั้งนั้น ทำให้พวกเขาอยากปลูกผักเกษตรอินทรีย์ในรูปแบบวิถีธรรมชาติ เป็นการออกแบบ และจัดการฟาร์ม โดยที่ไม่พึ่งพาสารเคมีใดๆ คำนึงถึง ผืนดิน ผลผลิต ระบบนิเวศ ครอบครัว และชุมชน พวกเขาเริ่มจากปลูกผักสวนครัวทั่วไป และผักสลัดบางชนิด ส่วนผลผลิตที่ได้พวกเขาจะนำไปประกอบอาหารเพื่อให้คนในครอบครัวได้รับประทาน จึงเป็นที่มาของสโลแกน “ปลูกผักเพราะรักแม่”
อีกทั้งพวกเขาทั้ง 3 ยังส่งต่อความสุขมี เพื่อมอบกลับคืนสู่สังคม ด้วยความหวัง ที่อยากจะผลักดันให้ชาวบ้านหันมาทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนในชุมชน
ติดตามเรื่องราวแห่งความสุขได้ที่
Facebook และ Youtube : The Discoverer
ช่องทรูปลูกปัญญา ทรูวิชั่นส์ 37 และ HD 111
สวนผักโอ้กะจู๋ OHKAJHU.Official
#TheDiscoverer
#TheDiscovererTH
#ความสุขของผู้ค้นพบ
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
#ThaiMediaFund
ในปัจจุบันเมื่อเรานึกถึงร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ที่รู้สึกมั่นใจในความปลอดภัยของทุกจานอาหาร เราคงต้องยอมรับเลยว่า ณ เวลานี้ ร้าน ‘โอ้กะจู๋’ คือ ร้านอาหารออร์แกนิคที่มีกลุ่มฐานลูกค้าที่มั่นคง เนื่องด้วยแนวคิดที่เกิดจากความใส่ใจในสุขภาพของผู้รับประทาน รวมถึงความคุ้มค่าของทุกจานอาหารที่ลูกค้าสัมผัสได้ ซึ่งสำหรับใครที่ชื่นชอบการทานสเต็กควบคู่ผักสด ๆ พร้อมกับบริการดั่งครอบครัว ก็แทบจะไม่มีใครเลยที่ไม่รู้จัก ร้านโอ้กะจู๋ โดยความสำเร็จที่เกิดขึ้น มันเกิดจากความสุขของเพื่อนสนิททั้ง 3 คน ที่จับมือกันฝ่าอุปสรรคทั้งในเวลาที่มีความสุขและท้อแท้มานับไม่ถ้วน ด้วยใจที่รักในเส้นทางวิถีชาวเกษตรกรซึ่งแรงบันดานใจที่เกิดขึ้น
ก็มาจากงานเกษตรวิชาการในตอน ม.6 พวกเขาผสมผสานการทำเกษตรสมัยใหม่กับวิธีการเกษตรแบบดั้งเดิมให้เข้าด้วยกัน จนกลายมาเป็นเกษตรอินทรีย์ยุคใหม่ที่มีความร่วมสมัย บวกกับความจริงใจและความซื่อสัตย์ที่พวกเขามีเป็นทุนเดิม สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนแม่เหล็ก ที่ค่อยดึงดูดให้พวกเขาทั้ง 3 ได้ลงมือทำอย่างจริงจัง โดยหวังเพียงว่า อยากให้ครอบครัวได้กินผักที่ปลอดสารพิษ ไร้ยาฆ่าแมลง และจากความตั้งใจที่แรงกล้า กับความปรารถนาที่อยากจะพักดันให้ชาวบ้านหันมาทำเกษตรอินทรีย์ พวกเขาพร้อมส่งต่อความสุขมี เพื่อมอบกลับคืนสู่สังคม จนกลายมาเป็นแนวทางของ “ร้านโอ้กะจู๋” อย่างทุกวันนี้
#TheDiscoverer
#TheDiscovererTH
#ความสุขของผู้ค้นพบ
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
#ThaiMediaFund
คุณต้อง คุณอู๋ เเละคุณโจ้
เพื่อนที่ดี สำหรับคุณ
เราเชื่อว่าทุกคนคงมีเพื่อนที่รู้ใจ เพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้างคุณเวลาที่คุณหลงทาง พร้อมที่จะยิ้มและสุขไปพร้อมกับคุณเสมอ ถึงแม้จะมีบางครั้งที่ต้องมีเรื่องผิดใจกันแต่ในคำว่าเพื่อนเราก็พร้อมให้อภัยกันและกัน พวกเขาทั้ง 3 คน ก็เช่นกัน ด้วยมิตรภาพที่ก่อร่างสร้างเยื่อใยของความผูกพัน ถึงแม้วันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แม้จะเจอเรื่องราวมากมาย ทั้งสุขและทุกข์ แต่พวกเขาก็ไม่เคยปล่อยมือกันและกัน โดยเส้นทางที่พวกเขาทั้ง 3 เลือกเดิน จะขาดใครคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้ เพราะมันเป็นความสุขที่พวกเขาร่วมกันสร้างและมันไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทนได้เลย
อู๋
“เหมือนกับว่าเราผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะ เราใช้ชีวิต และเที่ยวด้วยกัน เรากินด้วยกัน เรา Enjoy ทุกอย่างด้วยกัน เราผ่านทั้งสุขและทุกข์มาด้วยกัน คือ มองตาแล้วรู้ว่าเพื่อนเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ส่วนใหญ่เราก็จะเอาในแบบที่เพื่อนไม่ชอบให้แหละครับ 55555555”
คุณ อู๋ จบประโยคด้วยความหยอกล้ออย่างเป็นกันเอง และทั้ง 3 คน ก็ยิ้มพร้อมกับหัวเราะร่วมกันด้วยใบหน้าที่เอิบอิ่มเต็มไปด้วยความสุข มันสื่อถึงมิตรภาพที่ก่อร่างสร้างตัวมายาวนาน จนวันนี้ได้กลายเป็นสภาพแวดล้อม ที่ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความสุขและสบายใจในทุกครั้งที่ได้เจอกัน
ต้อง
"เพื่อนที่ดี สำหรับผม ผมว่ามัน คือ เพื่อนที่เราอยู่กับเขา และเราสามารถเป็นตัวเองได้ ไม่ต้องทำให้มันรู้สึกอึดอัดในการอยู่ร่วมกัน อยู่ยังไงก็อยู่อย่างงั้น พวกผมผ่านจุดที่มันเป็นเด็ก โตมาด้วยกัน เรียนมาด้วยกัน วันนี้เราได้มาทำธุรกิจด้วยกัน มันก็เหมือนเป็นโบนัสของชีวิตครับ เราไม่ได้คาดหวังว่าไอ้ธุรกิจที่เราทำมันจะเป็นเส้นชัยในชีวิต แต่เส้นชัยจริง ๆ ของเรามัน คือ การที่เราได้อยู่ด้วยกันครับ”
แล้วทางคุณโจ้ล่ะครับ? ถ้าไม่มีเพื่อน 2 คนนี้ ตอนนี้จะทำอะไรอยู่ครับ?
โจ้
“ผมก็อาจไปเป็นพนักงานบริษัทครับ555 คือ สำหรับผมก็ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตผมเหมือนกันนะ เป็นโอกาส ชะตา หรือฟ้าลิขิต ที่บังเอิญได้มารู้จักกันตั้งแต่เด็ก ๆ ทำให้เราเปลี่ยนแนวคิดบางอย่าง จากตั้งใจไว้จะทำอย่างนึง พอได้มีโอกาส ได้รู้จักกับเพื่อนทั้ง 2 คน เพียงคลิ๊กเดียว! เราก็เปลี่ยนใจจากตอนแรกจะเรียนต่อวิศวะ ก็เปลี่ยนมาเป็นคณะเกษตรพืชสวนแทน จากนั้น 4 ปีเราก็วางเป้าหมายว่าอยากปลูกผักขาย คือ เพื่อนทั้ง 2 ก็ทำให้สิ่งที่เราอยากจะทำในตอนนั้น แปรเปลี่ยนมาเป็นสิ่งที่เราอยากทำร่วมกันกับเพื่อนจนมาถึงทุกวันนี้”
เราต้องบอกก่อนเลยว่าทั้ง 3 คน เรียนจบมัธยมปลายมาจากโรงเรียนเดียวกัน คือ “โรงเรียนดาราวิทยาลัย” โดย “อู๋” กับ "โจ้" จะอยู่ห้องเดียวกัน ส่วนทางด้าน “ต้อง” จะอยู่อีกห้องนึง ซึ่งโรงเรียนดาราแห่งนี้
เด็กผู้ชายจะมีค่อนข้างน้อยกว่าเด็กผู้หญิง มันจึงทำให้ในช่วงเวลาว่างส่วนใหญ่ของเด็กผู้ชาย พวกเขาจะเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันเสมอ ทั้งเล่นเกม เตะบอล หรือแม้กระทั่งไปเที่ยว พวกเขาก็จะไปด้วยกันตลอด ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านั้น มันทำให้พวกเขาได้รู้จักกันและคุ้นเคยกันดี จนกลายเป็นความสนิทสนมโดยไม่รู้ตัว การได้พบเจอและรู้จักกันในช่วงเวลารอยต่อของเส้นทางแห่งความฝัน ในช่วงวัยมัธยมปลาย มันทำให้พวกเขาทั้ง 3 ค้นพบเป้าหมายที่มีร่วมกัน ทั้ง 3 คน ตัดสินใจออกเดินทางด้วยแรงพยุงของความไว้เนื้อเชื่อใจในมิตรภาพความเป็นเพื่อน จนก่อให้เกิดเส้นทางสีเขียวแห่งวิถีชีวิตของเกษตรอินทรีย์ ซึ่งในความเป็นเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันในช่วงมัธยม เราคิดว่ามันมีผลกับแนวทางความคิดของพวกเขาทั้ง 3 คน ไม่มากก็น้อย ทางคุณ “อู๋” ก็ได้ยืนยันว่า
อู๋
ชีวิตตอนมัธยมปลายมีผลนะครับ เพราะในโรงเรียนดาราเนี่ย จะมีเพื่อนหลายกลุ่มครับ กลุ่มเด็กที่เรียน กลุ่มเด็กกลาง ๆ และก็กลุ่มที่เล่นอย่างเดียว ซึ่งพวกเราก็หนักไปทางกลุ่มที่เล่นกันอย่างเดียวซะส่วนใหญ่55555555 (ทั้งสามคนขำ) แต่มันก็เหมือนกับว่า เรามีเพื่อนที่เอ็นจอยกับชีวิต และเพื่อนที่ไม่ทิ้งการเรียน มันทำให้เรารู้ว่าช่วงไหนเราควรเรียน และช่วงไหนเราควรเล่น มันก็เป็นเหมือนการฝึกวินัยเราไปด้วย เพราะเมื่อไหร่ที่เราให้ความสำคัญกับสิ่งไหนก็ตาม ในสิ่งนั้นเราก็ต้อง Enjoy กับชีวิตของเราด้วย ถึงเราไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่เรามีเพื่อนที่ดีด้วยทั้งสองแบบ ทั้งเพื่อนที่เรียนและเพื่อนที่ Enjoy กับชีวิต ถ้าเวลานั้นเราไม่ได้เพื่อนทั้งสองคน ปัจจุบันเราก็คงเอาตัวไม่รอดแน่ ๆ
#TheDiscoverer
#TheDiscovererTH
#ความสุขของผู้ค้นพบ
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
#ThaiMediaFund
คุณครูปิ่น
เด็กหลังห้อง
ในความสำเร็จที่ทั้ง 3 คน ร่วมกันสร้าง มันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดครูที่คอย อบรม สั่งสอน และขัดเกลา และในเรื่องของคุณครู ทั้ง 3 บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ครูปิ่น” บุคคลที่เป็นครูประจำชั้นตอน ม.5 เป็นครูที่เข้าใจ คอยสอนคอยแนะนำ แต่ก็มีบ้างที่พวกเขาจะเกเร ตามภาษาเด็กทั่วไป
ครูปิ่น
“ทั้ง 3 คนก็ผ่านมือครูปิ่นมาหมดนะ ทั้ง 3 คนเป็นเด็กหลังห้อง โดยทั้งห้องจะมีผู้ชายอยู่เพียง 13 คน แต่ถึงพวกเขาจะเป็นเด็กหลังห้องนั้น แต่พวกเขาก็เป็นเด็กที่มีน้ำใจ เคยมีอยู่มีครั้งนึงเพื่อนของเขาป่วยเป็นมะเร็ง ในทุกอาทิตย์ห้องของเราจะสละเงินส่วนนึง เพื่อเก็บออมไว้ให้เพื่อนที่ป่วยเป็นมะเร็ง และก็เป็นพวกเขานี้แหละที่ช่วยกันดูแลเพื่อน จนกระทั่งเพื่อนเสีย”
ถึงจะมีหลายครั้งที่ทั้ง 3 คน จะเกเร ไม่เข้าห้องเรียน และมาสายเป็นประจำ แต่พวกเขาก็อยู่ในขอบเขตเสมอ และไม่เคยทำเรื่องเดือดร้อนให้ครูลำบากใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ครูหลายคนประทับใจ อีกทั้งคุณครูปิ่นเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนมีร้านขายของฝากชื่อดังอย่าง "ร้านวนัสนันท์" จังหวัดเชียงใหม่ ที่นั้นจะมีตู้กระจกที่ใช้สำหรับแช่ผัก ภายในตู้กระจกนั้นจะมีผักกาดแก้ว มะเขือเทศ แตงกวา ซึ่งในตอนนั้นครูปิ่นรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ที่ผักออร์แกนิคสามารถนำมาเป็นของฝากได้ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่คิดว่าไอเดียทั้งหมดมันจะมาจากความคิดของเด็กหลังห้อง
ครูปิ่น
“พอครูปิ่นเห็นแบบนั้น ครูก็ไปโฆษณาในโรงเรียนว่า นักเรียนดาราของเราปลูกผักออร์แกนิค ทำให้เด็กนักเรียนดาราพากันไปอุดหนุนซื้อผักร้าน "โอ้กะจู๋" เรียกได้ว่าสำหรับครูคนหนึ่งแล้ว มันเป็นความภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก ที่เด็กหลังห้องจะสามารถทำได้ขนาดนี้”
ทั้ง 3 คน เป็นส่วนที่เติมเต็มกำลังใจในการที่จะสอนเด็กหลังห้องให้กับคุณครูปิ่นอย่างมาก โดยครูปิ่นจะชอบเล่าให้นักเรียนดาราฟังอยู่บ่อยครั้งว่า
ครูปิ่น
“รุ่นพี่ที่เป็นเด็กหลังห้องที่เรียนจบไปในตอนนี้ เขามีชีวิตอย่างไร และเก่งแค่ไหน ที่สามารถทำให้สิ่งเล็ก ๆ ให้เติบโตขึ้นมาได้ ซึ่งเราก็ดีใจที่ได้เห็นร้านของเขาเติบโตในวันนี้ จากที่เราเห็นในวันแรก ในตอนนั้นคิดว่า พวกเขาจะขายผักจริง ๆ หรอ? แต่นี่มันเป็นร้านของฝากนะ แล้วผักมันจะมาเป็นของฝากได้ยังไง? แต่เราเห็นคุณภาพของผักแล้ว รวมถึงเห็นความตั้งใจของพวกเขา จากนั้นเรากลับคิดว่าพวกเขาทำได้แน่นอน โดยเริ่มจากจุดเล็ก ๆ นี้”
#TheDiscoverer
#TheDiscovererTH
#ความสุขของผู้ค้นพบ
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
#ThaiMediaFund
คุณอู๋
การค้นพบที่แตกต่าง
หลังจากเรียนจบในช่วง ม.6 ทั้ง 3 คน จำเป็นต้องแยกย้ายกันไปเรียนในตามสาขาวิชาที่สอบเอ็นทรานซ์ติด พอวันเวลาผ่านไป พวกเขาได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการศึกษาทั้งความรู้ และทักษะในการประกอบอาชีพที่แตกต่างกันออกไปคนละด้าน พอหลังจากเรียนจบในช่วงปริญญาตรี พวกเขาทั้ง 3 คน ได้ร่วมกันแชร์ทักษะที่แต่ละคนได้สะสมมาจากการเล่าเรียนศึกษา เพื่อนำมาประกอบเป็นธุรกิจที่พวกเขารัก ในตอนนั้นพวกเขามองว่า อยากให้ร้านแห่งนี้ เป็นเหมือนสิ่งที่ยึดเหนียวจิตใจ เพื่อให้เพื่อน ๆ กลับมารวมตัวเพื่อใช้เวลาร่วมกัน มันจึงเกิดขึ้นเป็นจุดเริ่มโปรเจคของร้าน “โอ้กะจู๋” ที่พวกเขาทั้ง 3 อยากจะทำเพื่อครอบครัว และคนที่เรารัก ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มันช่วยให้พวกเขาได้รู้เป้าหมายของตัวเอง พวกเขามีความสุขที่ได้ทำมัน เพื่อสานต่อความฝันด้วยความพยายามที่ไม่ย่อถ้อ ไปพร้อมกับเพื่อนรักที่รู้ใจ
อู๋
“จริง ๆ ผมก็จะดูภาพรวม และก็จะดูเกี่ยวกับเรื่องบัญชี ส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่ชอบการทำร้านอาหาร อาจจะมีคิดเมนูบ้าง เมื่อเราลองทำขึ้นมาจะให้ทุกคนช่วยกันชิม แล้วถามว่าโอเคไหม อยากปรับเปลี่ยนตรงไหนหรือเปล่า ในช่วงแรกที่เราทำร้านกัน ก็จะเป็นคาเฟ่เล็ก ๆ สำหรับคนรักสุขภาพ โดยเน้นเมนูสลัดออร์แกนิคจากสวนของเรา เสิร์ฟคู่กับน้ำสลัดโฮมเมด สูตรคุณแม่ รวมถึงเครื่องดื่มจากเมล็ดกาแฟ และชาที่เป็นออร์แกนิค โดยมี คอนเซ็ปต์ว่า From Farm to Table ในตอนนั้นเราก็ทำน้ำสลัด แบบว่าทำออกมาหลายตัวมาก ประมาณ 20 กว่าตัว แล้วเราก็เลือกมา 6-7 ตัว จากนั้นก็ลองเทสต์กัน นอกจากนี้อาจจะมีเกี่ยวกับการคิดเมนู เราจะทำยังไงให้มันดูน่าทานและน่าสนใจ จะมีทีมงานที่ค่อยช่วยเป็น Backup อยู่ตลอดครับ”
#TheDiscoverer
#TheDiscovererTH
#ความสุขของผู้ค้นพบ
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
#ThaiMediaFund
คุณต้อง
ต้อง
“ที่จริงผมเรียนจบวิศวกรรมเกษตรโดยตรงเลยครับ คือ พอ “โจ้” กับ “อู๋” เริ่มก่อร่างสร้างฐานให้รูปแบบการทำธุรกิจของเราเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา พอเราเริ่มมีการใช้ทรัพยากรที่มากขึ้น ตามมาด้วยการใช้แรงงาน และเครื่องทุนแรงที่มากขึ้นตามไป มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตรวจวัดดิน ฟ้า อากาศ อุปกรณ์ในการให้น้ำ อุปกรณ์ในการแปรรูปขยะ เพื่อแปรสภาพจากขยะอินทรีย์มาเป็นปุ๋ย รวมไปถึง ณ วันนี้เรานำเทคโนโลยีเข้ามาเพื่อทุ่นแรง ทำให้ในการผลิตของเราสามารถตอบสนองความต้องการของหน้าร้านได้ดียิ่งขึ้น”
#TheDiscoverer
#TheDiscovererTH
#ความสุขของผู้ค้นพบ
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
#ThaiMediaFund
คุณโจ้
โจ้
“ผมจะดูแลในส่วนของการทำฟาร์มผัก เพราะโจทย์หลักตั้งแต่แรก คือ การปลูกผักแบบเกษตรอินทรีย์ วิธีธรรมชาติ โดยการออกแบบ และจัดการฟาร์มโดยที่ไม่พึ่งพาสารเคมีใด ๆ เพื่อส่งให้ “ต้อง” ไปกระจายสู่หน้าร้าน และส่งให้ “อู๋” ไป Manage ในร้านต่อครับ ผมก็จะมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ในการผลิตผักต่าง ๆ ในฟาร์มเป็นหลักในทุกวันครับ ตอนแรก ๆ ผมเริ่มจากการปลูกผักพื้นบ้านทั่วไปก่อน เช่น ถั่วพู มะเขือเทศ แตงกวา พอปลูกได้ระยะหนึ่ง เราก็เริ่มรู้ถึงปัญหาว่าจะมีอะไรบ้าง”
วิธีการจะอย่างไรก็ได้แต่ขอให้ได้ผลลัพธ์ที่ตั้งใจไว้ โดยพวกเขาทั้ง 3 คน จะวางแผนและแบ่งหน้าที่ตามความถนัดของแต่ละคน เพื่อให้ได้คุณภาพและผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยสำหรับลูกค้า เพื่อสร้างความประทับใจที่ยั่งยืน ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากความใส่ใจในรายละเอียดสำคัญต่าง ๆ
ต้อง
“โจ้ จะปลูกยังไงก็ได้ ให้มันเป็นอินทรีย์ที่สุด “อู๋” จะปรุงอาหารยังไงก็ได้ ให้ส่งถึงมือลูกค้า แล้วรู้สึกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยสำหรับลูกค้า ทางด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เราเสริมใส่เข้าไป เราก็ไม่ได้ปรุงแต่งในเรื่องของสารเคมีเลย มันเลยทำให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความซื่อสัตย์ต่ออาชีพที่เราพยายามส่งต่อไปถึงลูกค้าได้ อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความอบอุ่น ที่มาจากในจาน มันเกิดจาก Concept (ปลูกผักเพราะรักแม่) พวกเราให้แม่เป็นตัวแทนของครอบครัว ผลิตอาหารออกมาให้คนในครอบครัวทาน”
เมื่อวันเวลาผ่านไป ความใส่ใจที่นานวันเข้าได้กลับกลายเป็นละอองแห่งความสุขที่พร้อมจะฟุ้งกระจายภายในร้านแห่งนี้ จนลูกค้าหลายต่อหลายคนสัมผัสได้ถึงความจริงใจของพวกเขา เกิดเป็นความไว้ใจในคุณภาพของพืชผักที่พวกเขาผลิตออกมาสู่มือของผู้บริโภค ความรู้สึกที่แสนจะอบอุ่นที่อยู่บนจานอาหาร พวกเขาทั้ง 3 อยากให้ลูกค้าที่ทานอาหารของพวกเขา ได้นึกถึงคุณแม่ของตัวเอง พวกเขาเชื่อว่า แม่ คือ คนที่มีความอ่อนโยนและเป็นผู้ที่ใส่ใจในมื้ออาหารของครอบครัว ซึ่งคุณแม่มักจะเลือกวัตถุดิบที่ดีในการทำอาหารให้คนในครอบครัวได้ทาน เพื่อให้ทุกคนได้ยิ้มและมีความสุขกับอาหารที่แม่ทำให้ จึงเกิดเป็นไอเดียความหมายของ “ปลูกผักเพราะรักแม่”
#TheDiscoverer
#TheDiscovererTH
#ความสุขของผู้ค้นพบ
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
#ThaiMediaFund
คุณพ่อชัดชาญ เอกชัยพัฒนกุล
ซื่อสัตย์ไว้ก่อน พ่อสอนไว้
ต้อง
“เราเริ่มมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ในตอนนั้นเราพึ่งอายุได้ 20 ต้น ๆ ตอนนั้นคุณพ่อของอู๋ ก็เหมือนเป็นที่ปรึกษาเดียวที่เราเหลืออยู่ และเขาก็ให้คำสอนเรามาตลอดว่า เราต้องรักษาความซื่อสัตย์ให้มันคงอยู่ในอาชีพของเรา จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ พวกเราก็ยังยึดถือวิถีของความซื่อสัตย์ต่ออาชีพของตัวเองอยู่เลย”
อู๋
“ในตอนนั้น พวกเราก็เริ่มลังเลกันอยู่ว่า จะปลูกไฮโดรโปนิกส์ หรือออร์แกนิค ก็เลยปรึกษากับทางคุณพ่อ ซึ่งคุณพ่อก็แนะนำว่าถ้าไม่อยากเหมือนใคร ก็อยากให้พวกเราปลูกเป็นออร์แกนิค ซึ่งมันก็จะไม่เหมือนคนอื่น และก็จะไม่มีสารเคมีอีกด้วย"
เวลามีปัญหาอะไรทั้ง 3 คน ก็จะคอยปรึกษาคุณพ่อของ อู๋ อยู่เสมอ ซึ่งด้วยประสบกาณ์อันมากมายของ คุณพ่อชัดชาญ เอกชัยพัฒนกุล บวกกับแนวคิดที่สามารถนำไปต่อยอดได้ ผ่านตัวอย่างของเหตุการณ์ที่ชวนให้ทั้ง 3 คิดต่าง ๆ นานา และจากการอบรมสั่งสอนของ คุณพ่อชัดชาญ มันจึงทำให้พวกเขาทั้ง 3 คน ได้ซึมซับในความซื่อสัตย์ พอวันเวลามันผ่านไปเวลาทั้ง 3 คนจะทำอะไร พวกเขาก็ยังคงคำนึงถึงผู้บริโภค และชุมชนรอบ ๆ อยู่เสมอ ก็เลยเป็นที่มาของการตัดสินใจที่เด็ดขาด ในการปลูกผักออร์แกนิค
คุณพ่อชัดชาญ เอกชัยพัฒนกุล
“คือ จากที่เห็นพวกลูก ๆ ทำงานมาเนี่ย พวกเขาเป็นคนที่เก่ง และผมเชื่อว่าคนรุ่นใหม่ทุกคนมีความเก่ง เพราะเดี๋ยวนี้ข้อมูลต่าง ๆ มันหาง่ายมาก แต่ในความหาง่ายเนี่ย มันเป็นความไม่ละเอียดอ่อน เพราะฉะนั้นผมยังมีความรู้สึกว่า เราจะทำยังไง ให้เด็กรุ่นใหม่เนี่ย ยอมรับกับความเก๋าของสังคมรุ่นเก่า ถ้าพวกเขาได้สองสิ่งนี้นะ เขาจะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่สุด”
หลังจากตกลงกันได้ พวกเขาจึงเริ่มสร้างแปลงทดลองในการปลูกผักมา เพื่อเรียนรู้จากการลงมือทำ โดยพวกเขาเริ่มจากแปลงเล็ก ๆ แค่หนึ่งแปลง โดยผลผลิตที่ได้จากการทดลองปลูกผักออร์แกนิคนั้น พวกเขาจะนำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านในบริเวณรอบข้าง หากใครอยากได้ผักจากฟาร์ม พวกเขาก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะมอบให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนเลยแม้แต่น้อย
#TheDiscoverer
#TheDiscovererTH
#ความสุขของผู้ค้นพบ
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
#ThaiMediaFund
คุณพ่อชัดชาญ เอกชัยพัฒนกุล
คุณพ่อชัดชาญ
“สิ่งที่ยังไม่เคยเกิดในวันนี้ ต้องคิดว่า ถ้ามันเกิดในวันข้างหน้า และต้องคิดว่ามันจะเกิดในแง่ร้ายด้วย ถึงเวลานั้นทั้ง 3 คน จะแก้ปัญหากันยังไง เช่น สมมุติว่าวันนี้มันเกิดเรื่องประหลาดขึ้นมา ทำให้ร้านต้องปิด หลาย ๆ สาขาด้วยเหตุอะไรก็ตามแต่ ลูกจะทำยังไง”
และนี่คือคำพูดที่เขาจะบอกกับลูก ๆ เสมอ เพื่อให้ทุกคนตั้งสติ และมองถึงภาพของปัญหาที่อาจจะเกิดได้ในอนาคต ซึ่งคุณพ่อชัดชาญ เอกชัยพัฒนกุล จะถ่ายทอดผ่านจินตนาการ และท่านมักจะยกตัวอย่างสมมติฐานที่มันไม่น่าเป็นไปได้ แต่สำหรับคุณพ่อชัดชาญแล้ว เขาจะพูดอยู่เสมอว่า มันอาจจะเป็นไปได้นะ
พ่อชัดชาญ
“พวกน้อง ๆ เนี่ยเขาขยัน และด้วยความเป็นทีมของเขาเนี่ย ผมว่าค่อนข้างสมบูรณ์ และก็รักกัน อันนี้คือสิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นหุ้นส่วน อาจเป็นเพราะเราใช้ชีวิตกันแบบอบอุ่น ถ้าเขาอยู่ครอบครัวเราอบอุ่น ครอบครัวเขาก็อบอุ่น และเมื่อความอบอุ่นมาอยู่ด้วยกัน บริษัทก็อบอุ่น ทีมงานก็อบอุ่น เพราะฉะนั้นความอบอุ่นมันสื่อไปถึงลูกค้า วันนี้ลูกค้าเราจึงเป็นในลักษณะของความอบอุ่น เป็นลูกค้าของครอบครัว แต่สิ่งที่เราได้จากสังคมมา เราก็ควรคืนให้สังคมด้วย และผมก็ดีใจที่เขาทำได้”
ความคิดที่ร่วมสมัย จากการเรียนรู้ที่ไวของเด็กรุ่นใหม่จะช่วยเติมเต็มในการผสมผสานข้อดีและข้อเสียให้เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ช่วยให้ทั้ง 3 คน สามารถแก้ไขส่วนที่ยังเป็นข้อบกพร่องในเรื่องความไม่ละเอียดอ่อนของเด็กรุ่นใหม่ได้ดี ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นดังเป็นภาพรวมใหญ่ที่คุณพ่อชัดชาญท่านได้มองเห็น ซึ่งทั้ง 3 คน ก็ได้นำองค์ความรู้ในรูปแบบเก่า ที่มาจากประสบการณ์ของคุณพ่อชัดชาญ มาเป็นบทเรียนเตรียมตัวตั้งรับสิ่งต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
อู๋
“คุณพ่อผมเคยบอกว่า การที่เขายอมให้เราใช้พื้นที่ตรงนี้ มันเป็นเหมือนการเรียนปริญญาโทใบหนึ่งของพวกเราเนี่ยแหละ โดยผ่านการลงมือทำจริง ๆ ครับ”
สิ่งที่ทั้ง 3 คน ได้เรียนรู้จากพ่อชัดชาญ คือ ความซื่อสัตย์ในอาชีพ การส่งต่อความสุขให้ลูกค้า และคำนึงถึงคุณภาพ โดยสิ่งที่ทำนั้นล้วนต้องออกมามาจากใจ โดยจุดเริ่มต้นของโรงเรือนเพาะปลูกต้นแบบแห่งแรก โครงการหลวงหนองหอย อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ และนอกจากนั้น คุณพ่อชัดชาญ ท่านได้เห็นถึงความตั้งใจของพวกเขาทั้ง 3 ด้วยความมุ่งมั่นที่เกิดจากการลงมือทำ ท่านจึงให้โอกาส มอบเงินทุนก้อนหนึ่งเพื่อต่อยอดทางธุรกิจ พวกเขาจึงนำเงินทุนมาสร้างโรงเรือนหลังเล็ก ๆ ในพื้นที่ 6 x 30 เมตร สำหรับปลูกผักสวนครัว และผักสลัด
#TheDiscoverer
#TheDiscovererTH
#ความสุขของผู้ค้นพบ
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
#ThaiMediaFund
คุณโจ้ เเละคุณอู๋
อู๋
“ตอนนั้นที่เรามามันเป็นหน้าหนาว ถ้าเราขับมาตามถนนก็จะเห็นได้เลยว่า เป็นสีเขียวสลับแดง เป็นพริก เป็นเมล่อนครับ และเราก็เลยรู้สึกว่า ดู ๆ ไปแล้วมันก็น่าจะโอเคนะ แต่ “โจ้” จะขึ้นมาที่นี้บ่อยมากครับ”
โจ้
“บ่อยจริงครับ ครั้งแรกที่มาที่นี่ผมฝันไว้เลยว่า อยากมีแบบนี้บ้าง แค่ได้ปลูกผักแล้วก็นำไปขาย แค่นั้นเองครับตอนนั้นที่คิด”
สำหรับ คุณโจ้ แล้ว เรียกได้ว่า โครงการหลวงหนองหอย เป็นสิ่งที่คอยสร้างแรงขับเคลื่อนที่สำคัญอย่างมากกับตัวของเขา ทั้งบรรยากาศ ทั้งพื้นที่ รูปแบบของโครงสร้างโรงเรือน และผักต่าง ๆ นานา หลากหลายชนิด ซึ่ง คุณโจ้ ถึงกับบอกกับเราว่า มันเป็นเหมือนความฝันของเขา เป็นสิ่งที่เขาอยากมีมาตลอด และเขาจะตั้งเป้าหมาย พยายามเพื่อให้ความฝันในครั้งนี้ เกิดเป็นความจริงให้ได้ พอเขาพูดจบก็ยิ้มออกมาอย่างสุขใจ
โจ้
“ผมเรียนสาขาพืชศาสตร์ คือ ทางคณะก็พามาดูงานที่นี่อยู่บ่อย เพราะว่าเป็นหนึ่งในวิชาเรียนปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ถึงมันจะเป็นเคมี แต่เราก็ต้องเรียนรู้ในทุกเรื่องของการเกษตร ผมดูกระบวนการในการปลูกผักทั้งในดินและปลูกในน้ำ ร่วมถึงพืชหลาย ๆ อย่าง แต่ว่าที่หนองหอยแห่งนี้ จะเน้นการปลูกผักสลัด เราก็ได้มีโอกาสมาเห็นรูปแบบการผลิตผักหลายรูปแบบ รวมถึงการเพาะเมล็ดในถาดและย้ายปลูก มันทำให้ที่โครงการหลวงหนองหอยแห่งนี้ เป็นเหมือนหนึ่งในแรงบันดาลใจของพวกเรา”
#TheDiscoverer
#TheDiscovererTH
#ความสุขของผู้ค้นพบ
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
#ThaiMediaFund
คุณโจ้
โอกาส และ วิกฤต
โจ้
“จริง ๆ เราได้โอกาสจากคุณพ่อของอู๋ครับ โดยเขาเห็นถึงความตั้งใจของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน หรือความมุ่งมั่นที่เกิดจากการลงมือทำ ท่านจึงให้โอกาสและเงินทุนมา 50,000 บาท เราก็นำเงินทุนมาสร้างโรงเรือนหลังเล็ก ๆ ก่อน แต่ตอนนี้มันได้อันตรธานหายไปกับสายลมหมดแล้วครับ 55555 เราประสบปัญหาหลายครั้ง ทั้งพายุ น้ำท่วม เรียกได้ว่าตอนนั้นเครียดมากครับ”
ปี 2553 ประสบกับวิกฤตอุทกภัย
แต่เนื่องด้วยในฤดูฝนของ ปี 2553 เราประสบกับวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้โรงเรือนของเราได้รับความเสียหายบางส่วน และไม่สามารถทำการเพาะปลูกผลผลิตได้นาน เราจึงทำการซ่อมแซม เพื่อให้กลับมาปลูกผลผลิตได้ใหม่
ปี 2554 วิกฤตที่ร้ายแรง
แต่ในช่วงฤดูร้อนของ ปี 2554 เราได้เจอกับวิกฤตที่ร้ายแรงอีกครั้ง ครั้งนี้ทำให้โรงเรือนล้มระเนระนาด ไม่สามารถเพาะปลูกได้อีก แต่เราไม่ยอมแพ้ เราตัดสินใจก่อสร้างโรงเรือนขึ้นใหม่อีก 2 หลัง โดยใช้วัสดุแบบผสมผสานระหว่างไม้สักและเหล็กที่มีความแข็งแรงมากขึ้น
โจ้
“แต่ถึงแม้จะเจออุปสรรค ซึ่งยังไงก็ต้องเจออยู่แล้วกับเรื่องดินฟ้าอากาศ ซึ่งเราก็ไปบังคับ หรือฝืนไม่ได้อยู่แล้ว เวลาเราเจอปัญหาเราก็ต้องแก้ โดยพูดคุยกับเพื่อนเสมอ.....แต่ถ้าผมทำเพียงคนเดียว ผมคงไม่ทำต่อ ซึ่งผมโชคดีมากที่มีเพื่อนทั้ง 2 คน เพราะเวลามันเจอปัญหาหรืออุปสรรค หากเราไม่ได้กำลังใจจากเพื่อน”
#TheDiscoverer
#TheDiscovererTH
#ความสุขของผู้ค้นพบ
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
#ThaiMediaFund
คุณต้อง เเลัคุณอู๋
ขอบคุณที่ให้โอ้กะจู๋ดูแลสุขภาพ
นอกจากความสด สะอาด และปลอดภัยของผักออร์แกนิคที่พวกเขาปลูกด้วยตัวเอง จุดเด่นที่สำคัญอีกหนึ่งเรื่อง คือ การทำ CSR (Corporate Social Responsibility) กิจกรรมเพื่อสังคม ที่พวกเขาตั้งใจจะทำให้ฟาร์มของพวกเขา เป็นเหมือนพื้นที่การเรียนรู้ในการปลูกผักต่าง ๆ เพื่อให้คนในชุมชนได้เรียนรู้ และนำไปต่อยอด อีกทั้งยังผลักดันชุมชนชาวเกษตรกรให้หันกลับมาทำเกษตรวิถีอินทรีย์ โดยหวังว่าจะได้เห็นพื้นที่ชุมชนรอบข้าง มีทั้งน้ำที่สะอาด ดินที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุ ผักปลอดสารพิษ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
อู๋
“ผมก็มีคุยกับ โจ้ ตลอดนะครับ มันเป็นอะไรที่เราอยากทำอยู่แล้ว เราให้ชาวบ้านในชุมชนนำเศษกิ่งไม้และใบไม้ที่มันร่วงที่เขากวาดแล้วเนี่ย ให้เขานำมาที่โรงปุ๋ยของเรา เพื่อมาแลกกับปุ๋ยที่เราทำการหมักไว้ และอีกเรื่องที่สำคัญคือเราอยากผลักดันให้เกษตรกรหันมาทำเกษตรอินทรีย์”
ด้วยสถานการณ์ และกลไกทางการตลาดของชาวเกษตรกร มันจึงทำให้ต้องจำใจเดินทางในสายวิถีเคมี ซึ่งคุณอู๋ ก็เข้าใจในส่วนนี้ดี พวกเขาทั้ง 3 จึงมุ่งเน้นไปทางคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน โดยหวังว่าจะสร้างโอกาสที่ยิ่งใหญ่ เพื่อให้เกษตรกรได้ยืนหยัดในการกลับมาทำเกษตรอินทรีย์
#TheDiscoverer
#TheDiscovererTH
#ความสุขของผู้ค้นพบ
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
#ThaiMediaFund
อู๋
“เหมือนช่วยให้ผู้ร้ายกลับใจอ่ะครับ ประมาณนั้น เพราะแต่เดิมแล้วพวกเขาไม่ได้อยากเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในวังวนที่เป็นวิถีเคมีอยู่แล้ว หลายสิ่งมันบังคับให้เขาต้องทำ แต่พอถึงเวลาที่เหมาะสม พวกเขาจะรู้เองว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดนะ มันทำให้ดินเขาเสียหาย มันทำให้สุขภาพเขาเสีย และพวกเขาจะเริ่มคิดได้ เขาอยากจะกลับตัว แต่พอเขากลับตัว ผลผลิตที่ได้ออกมาเนี่ยมันไม่มีใครต้องการ เราก็เลยเหมือนทำหน้าที่ในการที่จะบอกต่อไปยังผู้บริโภคนะว่า ผักชนิดนี้มันเป็นผักที่ปลอดภัยนะ มันเป็นสิ่งที่ธุรกิจของเราคัดเลือกมา อย่างดีแล้ว ถ้าลูกค้ามีความเชื่อมั่นว่าผักของเราเป็นผักออร์แกนิคจริง ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง”
สิ่งที่พวกเขาได้ทำอาจดูไม่ยิ่งใหญ่ แต่มันออกมาจากความรู้สึกข้างใน พวกเขามองเห็นถึงสิ่งที่สำคัญของการแบ่งบันแบบไม่ต้องการผลตอบแทน และย้ำในจุดยืนของความซื่อสัตย์ พร้อมจะช่วยเหลือผู้คนในสังคมด้วยความเต็มใจ ด้วยเหตุผลง่าย ๆ มันคือ ความความสุข และมันได้นำพาให้พวกเขาได้เติบโตมาอย่างมีคุณภาพ ด้วยมิตรภาพของความเป็นเพื่อน ก่อร่างสร้างฐานจากคำสอนของยอดคุณพ่อชัดชาญ จนทุกวันนี้ได้กลายเป็นผู้ส่งต่อความสุขแก่ชุมชน และสิ่งนี้มันเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่สำหรับทั้ง 3 คน
#TheDiscoverer
#TheDiscovererTH
#ความสุขของผู้ค้นพบ
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
#ThaiMediaFund
ในปัจจุบันเมื่อเรานึกถึงร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ที่รู้สึกมั่นใจในความปลอดภัยของทุกจานอาหาร เราคงต้องยอมรับเลยว่า ณ เวลานี้ ร้าน ‘โอ้กะจู๋’ คือ ร้านอาหารออร์แกนิคที่มีกลุ่มฐานลูกค้าที่มั่นคง เนื่องด้วยแนวคิดที่เกิดจากความใส่ใจในสุขภาพของผู้รับประทาน รวมถึงความคุ้มค่าของทุกจานอาหารที่ลูกค้าสัมผัสได้ ซึ่งสำหรับใครที่ชื่นชอบการทานสเต็กควบคู่ผักสด ๆ พร้อมกับบริการดั่งครอบครัว ก็แทบจะไม่มีใครเลยที่ไม่รู้จัก ร้านโอ้กะจู๋ โดยความสำเร็จที่เกิดขึ้น มันเกิดจากความสุขของเพื่อนสนิททั้ง 3 คน ที่จับมือกันฝ่าอุปสรรคทั้งในเวลาที่มีความสุขและท้อแท้มานับไม่ถ้วน ด้วยใจที่รักในเส้นทางวิถีชาวเกษตรกรซึ่งแรงบันดานใจที่เกิดขึ้น ก็มาจากงานเกษตรวิชาการในตอน ม.6
พวกเขาผสมผสานการทำเกษตรสมัยใหม่กับวิธีการเกษตรแบบดั้งเดิมให้เข้าด้วยกัน จนกลายมาเป็นเกษตรอินทรีย์ยุคใหม่ที่มีความร่วมสมัย บวกกับความจริงใจและความซื่อสัตย์ที่พวกเขามีเป็นทุนเดิม สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนแม่เหล็ก ที่ค่อยดึงดูดให้พวกเขาทั้ง 3 ได้ลงมือทำอย่างจริงจัง โดยหวังเพียงว่า อยากให้ครอบครัวได้กินผักที่ปลอดสารพิษ ไร้ยาฆ่าแมลง และจากความตั้งใจที่แรงกล้า กับความปรารถนาที่อยากจะพักดันให้ชาวบ้านหันมาทำเกษตรอินทรีย์ พวกเขาพร้อมส่งต่อความสุขมี เพื่อมอบกลับคืนสู่สังคม จนกลายมาเป็นแนวทางของ “ร้านโอ้กะจู๋” อย่างทุกวันนี้
#TheDiscoverer
#TheDiscovererTH
#ความสุขของผู้ค้นพบ
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
#ThaiMediaFund
โฆษณา