8 ก.พ. 2022 เวลา 14:02 • ปรัชญา
คนดีของโลก มุ่งมั่น อยู่ในเรื่องทำมาหากิน เสาะแสวงหา หาทรัพย์สมบัติทรัพย์สินเงินทอง หามาได้ ก็นำมาหล่อเลี้ยงสังขาร หล่อเลี้ยง ในสิ่งที่มีชีวิตไม่มีชีวิต หามาได้ก็แบ่งปัน จุนเจือ ญาติสนิทมิตรสหาย เหล่าบริวารก็ยกยอสรรเสริญ มีความยินดี อยู่ในความสุขสบาย เหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่ก็ไม่รู้จักว่าชีวิตของตนนั้น จมอยู่กับกรรม ไม่คิดว่า จิตที่มาอาศัยสังขารนี้จะต้องเดินทางต่อไปหาสังขารใหม่ ก็ใช้ชีวิตไปวันหนึ่ง คืนหนึ่งเท่านั้น กินแล้วนอน
1
ตื่นขึ้นมาก็ไปทำงานทำการ กลับมาก็กินแล้วนอน คิดว่าไปทำงานมาเหนื่อยก็พักผ่อนหลับนอน ทำเช่นนี้ไปเรื่อย เครียดก็กินยา พักผ่อนหลับนอน เจ็บป่วยก็กินยาไป รักษาไปจนแก่เฒ่าตายไป ก็ไม่รู้จักว่าชีวิตเกิดมาทำไม รู้จักแค่เกิดมา ตั้งอยู่ดับไปเป็นธรรมดา ก็เชื่ออยู่เช่นนั้น ไม่เคย มานึกคิดพิจารณา เรื่องของกรรม ทำไมเราต้องเกิดมาอาศัยสังขารนี้ ว่าเค้าให้มาทำอะไร ไม่เคยตั้งคำถามให้แก่ตัวเอง ไม่เคยคิดถึงเรื่องของกรรม เรื่องการสร้างบุญกุศลบารมี ชีวิตของคนดีของโลก ก็จมอยู่กับกรรม ทำไปตามสัญญาจดจำ ทำตามอารมณ์กรรมที่ปรุงแต่งจิต เท่านั้นเอง
ในเรื่องคนดี ทางธรรม นั้นมันทำยาก เพราะต้องฝึกหัด ต้องฝืน ต้องรู้จักคำว่าพระคุณบิดามารดา ที่จิตนี้อาศัย ระมัดระวังในการใช้กายวาจาใจ ไม่ให้เกิดเป็นเวรเป็นกรรม เป็นการคล้องกรรม ฝึกหัดที่ประพฤติปฏิบัติธรรม เสาะแสวงหา เรื่องราวที่เราให้เรารู้จักจิตของตัวเอง ลดละนิสัยที่เป็นกรรม สร้างบุญกุศลบารมีให้เกิดขึ้นแก่จิตของตน
ให้จิตนี้รู้จักโลก รู้จักธรรม โลกนำพาไปทางไหน ธรรมนำพาไปทางไหน เมื่อจิตลดละอารมณ์ไปได้มาก สะสางกรรมไปได้มาก จนกายที่อาศัยนั้นเกิดเป็นธาตุของธรรม จิตที่นั้นก็มีความสุข มีธรรมหล่อเลี้ยงจิต จิตนั้นก็นิ่งเฉยเป็นจิตของธรรม ก็เป็นที่ให้จิตน้อยๆที่มีกรรม ได้มาอาศัย สร้างบุญสร้างกุศลบารมี ชี้แจงเรื่องราวเหตุผลให้ ชี้ให้เห็นว่า อยู่กับโลก..ใช้อารมณ์โลก โลภโกรธหลง นั้นมีแต่กรรม มาประพฤติปฏิบัติธรรมเดินในกิริยารอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะเป็นจิตที่เบาบางจากกรรม ยุติเรื่องราวให้หลุดพ้นจากการเกิด เกิดมีกายแล้วก็ทุกข์ หมดเหตุไม่ต้องเกิดเลยก็ไม่ต้องมารับทุกข์
โฆษณา