หากพูดถึงวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก หลายคนคงนึกถึงวง The Beatles เป็นแน่
ด้วยยอดขายแผ่นเสียงที่มีมากกว่า 1 พันล้านแผ่นทั่วโลก รวมทั้งวง The Beatles เป็นที่รู้จักของผู้คนทุกยุคทุกสมัยแม้กาลเวลาจะผ่านไปนานกว่าครึ่งศตวรรษ โดยอัลบั้ม Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band ที่ได้วางตลาดในปี 1967 ถูกนิตยสาร Rolling Stone จัดให้อยู่อันดับ 1 ของอัลบั้มเพลงที่ดีที่สุดในโลกตลอดกาล
เมื่อไม่นานมานี้สารคดี The Beatles : Get Back ได้ถูกนำมาฉายทาง Disney + โดยตัวสารคดีจะพาเราย้อนกลับไปดูเบื้องหลังการสร้างสรรค์อัลบั้ม Let It Be อันเป็นอัลบั้มลำดับที่ 12 ซึ่งเป็นอัลบั้มสุดท้ายของวง The Beatles โดยตัวสารคดีสร้างมาจากฟุตเทจที่บันทึกวิดีโอโดย ไมเคิล ลินด์เซย์-ฮอกก์ เมื่อปี 1969 ด้วยความยาวกว่า 55 ชั่วโมง และเทปที่ถูกบันทึกเสียงที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนอีกกว่า 140 ชั่วโมง ทั้งหมดถูกเก็บไว้ในห้องนิรภัยอย่างดีของบริษัท Apple Crops มานานกว่า 50 ปี และในตอนนี้ภาพเหล่านี้ก็ได้ถูกนำมาถ่ายทอดให้เราได้เห็นในสารคดี The Beatles : Get Back
6
สารคดี The Beatles : Get Back ถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้กำกับ ปีเตอร์ แจ็คสัน ผู้กำกับชื่อดังที่เคยกำกับหนังไตรภาค the lord of the rings ตัวสารคดี The Beatles : Get Back ถูกทำออกมาให้เหลือความยาว 6 ชั่วโมง แบ่งออกเป็น 3 ตอน
แต่ละตอนมีความยาว 2 ชั่วโมง
ตัวสารคดีพูดถึงเรื่องราวในปี 1969 วง The Beatles ไม่ใช่วงเด็กหนุ่มวัยใสอีกต่อไป แต่พวกเขาคือวงดนตรีซุปเปอร์สตาร์ที่ประสบความสำเร็จไปทั่วโลกมากว่า 10 ปี แต่ด้วยแฟนเพลงเคร่งศาสนาได้ต่อต้านเกี่ยวกับคำให้สัมภาษณ์ออกสื่อของ จอห์น และ พอล อีกทั้งข่าวการเสียชีวิตอย่างกระทันหันของ ไบรอัน เอพสเตน ผู้จัดการผู้เป็นเสาหลักของวง ทำให้วง The Beatles ตัดสินใจไม่แสดงคอนเสิร์ตเลยตั้งแต่กลางปี 1966 พวกเขาต้องการหยุดพักใจ ทำงานแต่ในสตูดิโอ เพื่อหาทางผลิตอัลบั้มใหม่ออกมา แล้วพวกเขาก็ออกอัลบั้มได้ถึง 5 อัลบั้มด้วยกัน ในจำนวนนี้มีอัลบั้ม Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band ที่ถูกจัดว่าเป็น อัลบั้มเพลงที่ดีที่สุดในโลกตลอดกาลอยู่ด้วย
2
ในช่วงปลายปี 1968 ไมเคิล ลินด์เซย์-ฮอกก์ ผู้กำกับที่เคยถ่ายทำ MV เพลง Hey Jude ให้ The Beatles ได้ยื่นข้อเสนอที่จะจัดคอนเสิร์ตให้กับทางวง โดยมีข้อแม้ว่าต้องยอมให้เขาบันทึกภาพเบื้องหลังระหว่างซ้อม ระหว่างผลิตงานเพลง ระหว่างการอัดเสียงอัลบั้ม Let It Be
พอล รู้สึกว่าตัวเองและวงห่างหายจากการเล่นคอนเสิร์ตมานาน จึงอยากกลับมาแสดงและพบเหล่าแฟน ๆ อีกครั้ง พอลได้โน้มน้าวให้ทางวงเห็นด้วยกับความคิดนี้ แล้ววง The Beatles จึงตอบรับกับโปรเจกต์นี้
ในสารคดีทำให้เราเห็นว่าปัญหาต่าง ๆ ในวงไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นมา แต่มันสะสมมานานหลายปีแล้ว เพียงรอวันที่ปะทุขึ้นมา และการรวมตัวซ้อมในอัลบั้ม Let It Be นี้ก็คือวันที่มันระเบิดออกมา
2
ความจริงแล้วอัลบั้ม Let It Be ในตอนแรก พอล ตั้งใจจะตั้งชื่ออัลบั้มว่า Get Back เพื่อเป็นการประกาศการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งของวง The Beatles แต่เมื่อมารวมตัวกันแล้วก็เห็นเส้นทางเดินของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไปทั้งความคิด ความชอบ เต็มไปด้วยความขัดแย้ง จึงยากที่จะทำงานร่วมกันไปต่อได้ พอล จึงตั้งชื่ออัลบั้มนี้ใหม่ว่า Let It Be (ช่างมัน!) อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
5
ด้วยความขัดแย้งมากมายทำให้อัลบั้ม Let It Be ทำท่าจะล่ม คอนเสิร์ตที่คิดว่าจะมีก็อาจต้องงดไปโดยปริยาย บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึมครึมตึงเครียด ไม่มีความชัดเจน
สารคดี The Beatles : Get Back ไม่ใช่สารคดีที่ชี้นำให้เราเห็นภาพลักษณ์ที่สวยหรูดูดี วงดนตรีระดับตำนาน แต่มันตีแผ่ความดิบ ความจริง ความซื่อตรง ความเป็นมนุษย์ที่สุด ให้เราได้เห็นการคิด การกระทำ คำพูด และความสัมพันธ์ของสมาชิกในวงว่าเป็นยังไง โดยไม่มีการชี้นำใด ๆ ว่าใครถูกใครผิด เราสามารถติดตามดูได้อย่างใกล้ชิดและทำให้เราได้รู้จักกับวง The Beatles ในแบบที่เราไม่รู้จักมาก่อน
เมื่อเราดูสารคดี The Beatles : Get Back จบแล้ว เราอาจค้นพบว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดของวง The Beatles อาจไม่ใช้ตอนที่วงประสบความสำเร็จมีแฟนเพลงมากมายให้การต้อนรับ แต่อาจเป็นตอนที่วงถึงทางตันแล้ววงยังมีกันและกันก็เป็นได้ครับ