9 ก.พ. 2022 เวลา 06:06 • ปรัชญา
เรื่องราวของความขัดแย้งอะไร ทั้งหลายมันล้วนแล้ว พัวพันอยู่กับอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ที่เราจดจำนำมาเป็นสัญญา ยึดถือว่า เราดี เราถูกต้อง ยึดมั่นถือมั่น ก็เลยเกิดอารมณ์ยุยง ส่งเสริม ให้เกิดความโมโห ไม่ได้ดังใจ โดยเฉพาะกับบุคคลใกล้ชิด ที่เราหวังว่า เค้าจะเข้าใจเรา แต่พอเกิดมีการปรับทุกข์ จะปรึกษาหารือกัน อารมณ์ที่เราสะสมเก็บมาไว้ที่ใจ มันพรั่งพรูออกมา มันกลับกลายเป็นเรื่องของการระบายอารมณ์ ที่เราไปเก็บมา ไปพบปะคนนั้นคนนี้ ไม่พอใจคนนั้นคนนี้ เช่น ขับรถไป เจอรถมอไซค์ ขับช้าขับเร็ว ปราดหน้าปราดหลัง ก็ด่าว่าไม่ชอบใจ แม้เกิดในใจ มันเก็บเก็บมาเป็นอารมณ์สะสม ที่เค้าว่า ตาเห็นภาพ หูได้ยินเสียง มันก็ล้วนเก็บบันทึกอยู่ที่กายเรา พอไปคุยกัน เรามีอารมณ์ค้างคาสะสมมา ก็ระบายออกเหวี่ยงออก
คราวนี้ เกิดต่างคนต่าง ก็ไปเก็บเรื่องราวต่างๆ สะสมมามาคุยกัน ต่างฝ่ายต่างระบายทุกข์ ระบายอารมณ์ มันก็เลยเร่าร้อน วุ่นวาย เพราะเอาแต่เรื่องที่เหมือนเป็นไฟ มาคุยกัน มันแผดเผาทั้งสองฝ่าย คุยกันทีไร ก็มีเรื่องชวนหงุดหงิดรำคาญ แกไม่ฟังข้าพูด แกพูดข้าไม่เข้าใจ ซึ่งก็ล้วนเป็นเรื่องของความทิฐิที่เกิดขึ้นไม่ยอมกันไปเสีย บางเรื่องบุคคลที่คุยกัน ก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้อง เพียงแต่ได้ยินมา นำมาวิพากษ์วิจารณ์ คนนั้นผิด คนนี้ถูก ต่างฝ่ายต่างก็วิจารณ์ ประกอบเหตุผลตามอารมณ์ที่ส่งให้ มันก็เลยเกิดเป็นความขัดแย้ง บาดหมางเกิดขึ้น ในเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
เรื่องราวทำนองนี้ มีให้เห็นบ่อยๆ ในชีวิตของคนเรา แม้แต่ในการประชุม เพื่อร่วมมือ ช่วยกันแสดงความคิดเห็น ก็ยังเกิดความขัดแย้ง ไม่ยอมกัน เอ็งผิดข้าถูก มันก็จมอยู่กับกรรมด้วยกันทั้งคู่ แล้วความร่วมไม้ร่วมมือจะช่วยเหลือเกื้อกูล เห็นอกเห็นใจกันมันก็สูญหาย เกิดมีศัตรูทางความคิดตามอารมณ์ ให้หลงยึดถือ เกิดเป็นศัตรูกันเกิดขึ้น
อารมณ์ที่เกิดขึ้นที่เรา นั้นแหละ เป็นศัตรูของจิตเรา ทำลายจิตของเรา เราก็ควรอยู่เงียบๆ จับอารมณ์ขึ้นมาดู ว่าเพราะอารมณ์ที่เราหลงใช้ไปมีกิริยากายวาจาใจ เป็นอย่างไร เรารู้จักเราก็สลัดอารมณ์นั้นทิ้งไป ไม่ไปคิดโทษตัวเอง เพราะเราจับได้ว่า เรื่องราวที่แท้จริงเกิด เพราะอารมณ์ที่เกิดขึ้นที่เรา
เราก็ละอารมณ์นั้น เพราะจิตของเรา มันยังอ่อนไม่รู้จักอารมณ์ เท่าทันอารมณ์ที่เกิดที่เราได้ เรารู้จักอารมณ์ ที่เป็นเหมือนสมมุติขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง ให้เราเผลอไปสร้างกรรม เหตุมันผ่านไปแล้ว เราก็เรียกจิตเรากลับมา อย่าให้อารมณ์เค้าข่มเหงมัวแต่โทษตัวเองกับเรื่องที่ผ่านมาแล้ว เหมือนกาลเวลาผ่านมา ก็ไม่หวนกลับคืน เราก็ต้องกลับมาเริ่มใหม่ ล้มแล้วก็ลุก ลุกขึ้นมา ด้วยสติที่ฝึกหัดให้รู้จักจักเท่าทันอารมณ์ ยับยั้งอารมณ์ที่เรา ไม่ให้ข่มชีวิตของให้จมอยู่กับทุกข์ด้วยเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ผ่านไปแล้ว เราก็ไม่เก็บมานึกคิด อยู่กับปัจจุบัน ที่รู้จักทำจิตทำกายให้สงบ ก็มีความสุข เล็กๆภายในใจเรา
แล้วเรื่องราวของอารมณ์ มันก็พาเราไปยึดตรงนั้นตรงนี้ ยึดเพื่อนบ้าง มีก็เป็นอารมณ์ พาคล้องกรรมกัน คล้องกรรมในฐานะเกื้อกูลกันก็ดีไป คล้องกรรมกรรมเชือดเฉือน ซึ่งกันและกัน มันก็หาความสุขไม่ได้ เพราะต่างคนก็ต่างถือว่า ข้าดีแล้ว เอ็งไม่ดี มัวแต่โทษกัน จึงมีแต่เรื่องราวนำทุกข์มาให้จิต แล้วเราก็ไปคิดพิจารณา ถ้าเป็นอย่างนี้ไปทั้งชีวิต จิตเราจะมีความสุขมั้ย คำตอบก็อยู่ที่จิตของเรานั้นแหละ ที่ตอบคำถามให้แก่ของตัวเอง จะเลือกเดินไปทางใด ในเมื่อเรายังมีโอกาสที่จะเลือกทางเดิน
โฆษณา