11 ก.พ. 2022 เวลา 03:57 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
The Eight Hundred สงครามเป็นแค่เกมการเมืองของผู้มีอำนาจ
เรื่องนี้ได้ดูรอบสื่อมวลชน ตั้งแต่เข้ามาฉายในไทยเมื่อปี 2020 เป็นเรื่องที่เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับวงการบันเทิงจีนแผ่นใหญ่ไปเลย และทำให้รู้ว่าหนังจีนแผ่นดินใหญ่ปัจจุบันก้าวหน้าไปมาก ทั้งโปรดักส์ชั่น บท บทสนทนา มุมมองที่ต้องการสื่อสารทำได้ดีไม่แพ้ใคร
จะเรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หันมาสนใจวงการบันเทิงจีนอย่างจริงจังก็ว่าได้ เพราะตอนที่ดูเรื่องนี้ ยังไม่รู้จักนักแสดงในเรื่องสักคน
กลับมาดูอีกรอบใน Netflix กลายเป็นคุ้นหน้าทั้งนั้น
เรื่องนี้แม้จะเป็นหนังแนวรักชาติ(จีน) ก็จริง แต่ก็ตั้งคำถามเกี่ยวกับสงครามหลาย ๆ ประเด็นได้คมคายมาก
หนังสร้างจากเหตุการณ์จริงช่วงสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ในเวลานั้น รัฐบาลคณะชาติเจียงไคเชคปกครองจีน ญี่ปุ่นรบชนะจนจะได้เซี่ยงไฮ้ทั้งหมด( ยกเว้นเขตเช่าของอังกฤษ) เจียงไคเชคสั่งให้กองพล 88 ตรึงกำลังที่โกดังซื่อหาง ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขตสัปทานอังกฤษที่มีเพียงคลองเล็ก ๆ กั้นเอาไว้
เรื่องนี้ก็เป็นประเด็นให้หนังเกือบไม่ผ่านเซ็นเซอร์ เพราะแม้จะเป็นเรื่องเชิดชูทหารจีนที่สู้รบเพื่อแผ่นดินจีน แต่ในเวลานั้นเป็นทหารของรัฐบาลคณะชาติไม่ใช่รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ จนมีคำพูดจากทีมงานประมาณว่า ถ้าไม่ใช่ทหารฝ่ายเดียวกัน จะไม่ใช่วีรบุรุษหรือ (ทั้งที่เป็นทหารจีนเหมือนกัน)
นอกจากนั้นยังมีประเด็นเรื่องธงชาติในเรื่อง ตามประวัติศาสตร์มันก็ต้องเป็นธงของคณะชาติ ซึ่งก็คือธงชาติไต้หวันในปัจจุบันนั่นเอง จึงต้องตัดต่อใหม่ให้เป็นธงชาติจีนในปัจจุบัน จำไม่ได้ว่าฉบับที่ฉายในโรงในไทยตอนนั้นเป็นฉบับที่ตัดต่อธงใหม่หรือยัง แต่เวอร์ชั่นที่ฉายใน Netflix เป็นฉบับออริจินัลใช้ธงคณะชาติ
ตามประวัติศาสตร์ มีทหารที่ตรึงกำลังอยู่ที่โกดังแห่งนี้ ประมาณ 400 กว่าคน แต่ผู้บัญชาการบอกนักข่าวไปว่ามี 800 เพื่อให้ดูว่าทหารมากหน่อย
สำหรับในหนัง ทหารที่ร่วมรบในโกดังไม่ได้มีแต่ทหารที่ถูกฝึกมาอย่างดีเท่านั้น แต่ยังมีทหารเกณฑ์ จากคนอาชีพอื่น ๆ ที่ไม่ได้เต็มใจจะมารบ เพราะรบไม่เป็น และกลัวตาย แถมยังหาทางหนีอยู่ตลอดเวลา
หนังค่อย ๆ ทำให้เห็นว่า คนที่ไม่ได้อยากเป็นทหารกลายมาเป็นวีรบุรุษได้อย่างไร
ส่วนทหารจริง ๆ สู้รบเป็น และเตรียมพร้อมตายเพื่อแผ่นดินมาแล้ว ตัดสินใจมาแล้วว่าโกดังซื่อหังคือสุสานของตนเอง ก็ได้แต่อึ้งไปเมื่อรู้ความจริงว่า
"สงครามก็คือการเมือง มันคือละครฉากหนึ่ง"
ความเป็นความตายที่ผู้บัญชาการทหารและผู้ใต้บังคับบัญชากำลังเผชิญอยู่นั้น เป็นเพียงเกมการเมืองของคนที่มีอำนาจในเวลานั้น และก็ไม่เฉพาะแต่เจียงไคเชคด้วย แต่รวมถึงผู้นำของประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสงครามครั้งนี้ด้วย ซึ่งล้วนแต่ไม่ได้สนใจว่าจะมีใครตายไปเท่าไหร่
ต้องบอกว่าหนังวิพากษ์วิจารณ์ “สงคราม” อย่างเปิดเผยและเจ็บแสบมาก
ในขณะที่เป็นหนังรักชาติ ก็เป็นหนังต่อต้านสงครามไปพร้อมกัน
ส่วนที่หนังเหมือนลากเอา “ฝรั่ง” มาตบกลางสี่แยก คือการรายงานข่าวสงครามราวกับเป็นความบันเทิงชนิดหนึ่ง การพนันขันต่อว่าญี่ปุ่นจะชนะจีนในสามชั่วโมง
เดี๋ยวนะ นี่มันสงครามจริง กระสุนจริง ตายจริง
เป็นการแสดงมุมมองต่อชาติตะวันตกที่ดุเดือดมาก ด่ากันไปถึงรากเหง้าของจิตใจกันเลย (เอ่อ อินไปนิดนึง555 )
คุ้นหน้าที่สุดก็คือคนนี้ โอห่าว
ในมุมของความเป็นหนังรักชาติ นอกจากเชิดชูทหารผู้เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องแผ่นดินแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพี่น้องร่วมชาติ เพราะท้ายที่สุดแล้วคนจีนที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ แรก ๆ ก็เฝ้ามองเฉย ๆ แต่ตอนหลังก็ร่วมด้วยช่วยกันให้ทหารที่เหลือถอยกลับเข้ามาในฝั่งเขตเช่าได้
ความลึกซึ้งอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้คือการใส่สัญลักษณ์หลายอย่างเข้าไป เช่นม้าสีขาว ที่วิ่งเพ่นพ่านไปทั่วสนามรบ โดยไม่ถูกระเบิดตาย
อันนี้ก็แล้วแต่ใครจะตีความว่ามันคือ อิสระ เสรีภาพ ความกล้าหาญ หรืออะไร
การได้ดูหนังเรื่องนี้ ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกโชคดีที่เกิดบนแผ่นดินนี้ เพราะไม่มีทางที่เราจะได้ดูหนังสงครามของไทย ซึ่งสร้างจากเรื่องจริงที่มันหนักหนาสาหัสขนาดนี้
โกดังซื่อหาง ปัจจุบันคือพิพิธภัณฑ์

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา