12 ก.พ. 2022 เวลา 08:45 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ทำไมพระจันทร์ไม่ชนโลก แล้วถ้าชนโลกจะเกิดอะไรขึ้น
เราทราบมาแล้วว่าการที่วัตถุต่างๆ บนโลก จะต้องตกลงมาจากที่สูงเนื่องจากแรงดึงดูด แต่ทำไมพระจันทร์ที่เรามองเห็นมันอยู่ทุกวันถึงไม่หล่นลงมากระทบโลก
คำตอบง่ายๆ ของเรื่องนี้คือ มันต้องมีแรงบางอย่างที่อยู่ตรงข้างกับแรงดึงดูดดึงพระจันทร์เอาไว้ไม่ให้ตกลงมาเสมือนมีเส้นด้ายขึงเอาไว้ฝั่งตรงข้ามกับโลก แต่ในความเป็นจริง ไม่ได้มีเชือกหรือแรงแบบนั้น แต่มันคือแรงหนีศูนย์กลาง เหมือนเวลาเราขับรถเข้าโค้ง แต่ไม่หลุดออกจากโค้งก็แรงหนีศูนย์กลางคอยดึงไว้ ในทางทฤษฎีแล้วหากเราขว้างวัตถุใดๆ ด้วยความเร็วที่มากพอไปบนโลกโดยที่ไม่ชนกับอะไรเลย มันสามารถที่จะโคจรรอบโลกได้เหมือนดวงจันทร์ที่เราเห็นอยู่นี้ ปัจจุบันดวงจันทร์โคจรรอบโลกด้วยความเร็ว 3600 km/h เลยทีเดียวโดยความเร็วไม่ลดลง
คำถามต่อไปคือ หากมีอุกาบาตขนาดใหญ่ มากระแทกดวงจันทร์ จนดวงจันทร์สูญเสียความเร็ว แล้วตกลงมากระแทกโลก จะเป็นไปได้ไหม คำตอบคือ มีอุกาบาตมากมายมากระแทกดวงจันทร์ตลอดหลายล้านปีมาแล้ว ดังเราจะเห็นได้จากพื้นผิวดวงจันทร์ที่ขลุขละ เป็นหลุมเป็นบ่อตลอดเวลา ด้วยน้ำหนักของดวงจันทร์ มันแทบจะไม่ขยับเลยด้วยซ้ำ
เราไม่ต้องกลัวว่าดวงจันทร์จะตกมากระแทกโลก เหมือนหนังไซไฟเลย แล้วถ้าหากเราจะมาคิดเล่นๆว่า หากดวงจันทร์ตกลงมาได้จริงจะเป็นเช่นไร หากดวงจันทร์ตกลงมาได้จริงมันจะใช้เวลาประมาณ หนึ่งปี จึงจะตกลงมาถึงโลกได้ เพราะมันจะต้องวนรอบวงโคจรจะต้องค่อยๆ เล็กลง เล็กลง จะกระแทกโลกในที่สุด
ในเดือนแรก พระจันทร์จะดูใหญ่ขึ้นกว่าที่เคย และน้ำทะเลที่มีน้ำขึ้นน้ำลงจะขึ้นและลงมากผิดปกติเนื่องจากพระจันทร์เข้ามาใกล้โลกมากขึ้น
เดือนต่อมา นำ้จะยิ่งสูงขึ้นอีก จนกระทั่งท่วมเมืองชายฝั่งทั้งหมด และทำลายระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ระบบอินเตอร์เน็ต ระบบไฟฟ้าจะใช้การไม่ได้ เนื่องจากโดยน้ำท่วมหนัก โรงไฟฟ้าชายฝั่งจะจมน้ำแทบทั้งสิ้น พื้นที่เลี้ยงสัตว์เสียหาย วัวควายอดยากเนื่องจากพื้นที่ปศุสัตว์ลดลง
เดือนที่สาม ระบบดาวเทียมจะถูกทำลายเนื่องจากพระจันทร์เข้ามาใกล้เกินไป ทำให้เกิดแรงดึงดูดทำให้ดาวเทียมสูญเสียวงโคจร ไม่ตกลงมาก็กระเด็นออกนอกโลกไป เพราะแรงเหวี่ยงจากแรงสู่ศูนย์กลางนั้นเอง
เดือนที่ 4-5 คลื่นยักษ์สีนามิจะถาโถม สูงไม่ต่ำกว่า 30เมตร พัดเอาตึกรามบ้านช่องพังทะลายเราแทบไม่มีที่อยู่อาศัย ได้แต่หนีขึ้นไปบนที่สูงเช่นภูเขา หลังจากนั้น น้ำอาจท่วมสูงถึง 1000-3000 เมตร จากระดับน้ำทะเลปัจจุบัน
หลักจากเดือน5 โลกจะรับรุ้ถึงแรงดึงดูดของดวงจันทร์และเนื่องจาก จากโคจรของดวงจันทร์ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงในระดับที่รุนแรงทำให้เกิดแรงกระแทกไปๆมาๆ เหมือนเราเขย่าลูกบอล ทำให้ลาวาภายใต้โลกเคลื่อนที่และถูกบีบอีด ทำให้เกิดแผ่นดินไหวทั่วโลก และเกิดภูเขาไประเบิดตามมา เราจะเห็นควันจากภูเขาไปปกคลุมไปทั่ว และพระจันทร์สว่างใหญ่ยักษ์บนท้องฟ้า เหมือนโคมไฟ
เดือนที่ 6-7 ก่อนที่จะชนโลก ดวงจันทร์จะเข้าใกล้โลกมาก เนื่องจาก เรามีแรงดึงดูดมากกว่าดวงจันทร์ถึงหกเท่า การที่พระจันทร์เข้ามาใกล้โลกมาก ดวงจันทร์เองก็มีผลกระทบเช่นกัน คือจะเกิดแรงดึงดูดมหาศาลต่อดวงจันทร์ส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวบนดวงจันทร์ และเปลือกนอกของดวงจันทร์จะเร่ิมแตกออก ส่วนบนโลกจะยื่งเลวร้าย ทุกอย่างถูกทำลายหมด จมอยู่ใต้น้ำ เราอาจเห็นข้างขึ้นข้างแรม ภายในไม่กีวัน บนโลกคือจุดสิ้นสุดของมนุษย์ชาติแล้ว เหลือคนรอดอยู่เพียงไม่กี่หยิบมือ
เดือนที่ 8-9 ฝุ่นภูเขาไฟ กระจายเต็มพื้นโลก เราไม่มีไฟฟ้าใช้แล้วในตอนนั้น แม้แต่โซล่าเซลก็ไม่มีประโยชน์เพราะปกคลุมไปด้วยควันจากภูเขาไฟ มองแทบไม่เห็นพระอาทิตย์ น้ำฝนที่ตกลงมาก็กินไม่ได้ เนื่องจากกลายเป็นฝนกรด จากซัลเฟอร์ ไนตริก และสารเคมีอื่นๆ จากเถ้าภูเขาไฟ โลกเย็นลงเพราะแสงแดดส่องลงมาไม่ถึง หิมะตก อากาศหนาวเย็น สัตว์เลี้ยงตายหมด
เดือนที่ 10-12 นับเป็นปีปฎิทินสุดท้ายของมนุษย์ชาติอย่างแท้จริง (ถ้ายังมีมนุษย์รอดอยู่) หากมีคนรอดเหลืออยู่ พวกเขาจะได้เห็นพระจันทร์แตกออกเป็นเสื่ยงๆ เนื่องจากโดนบีบอัดจากแรงดึงดูดของโลก กระจายไปรอบๆ วงโคจรของโลก เหมือนวงแหวนของดาวเสาร์ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยก้อนหินขรุขระเต็มไปหมด หลังจากนั้น มันจะหมุนวนรอบๆ โลกเราเหมือนดาวเสาร์ไปตลอดกาล (ถ้าไม่มีอะไรนอกจากอุกาบาตมากระแทกมัน ถ้ามีมันก็จะตกลงมายังโลก กระแทกพื้นโลกและเกิดคลื่นสึนามิขนาดยักษ์ เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่จมอยู่ใต้ทะเลหมดแล้ว)
เมื่อเวลาผ่านไป ฝุ่นภูเขาไปหมดแล้ว ท้องฟ้าจะกลับมาสีฟ้าดังเดิม หากยังมีสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่ หรือ อาจมีคนรอด ก็ต้อนรับสู่โลกใหม่ เริ่มจากยุคไหนก่อนดีละ ?
โฆษณา