12 ก.พ. 2022 เวลา 15:54 • ไลฟ์สไตล์
ฉันเพิ่งเริ่มฝึกโยคะโดยเรียนกับครูผ่านออนไลน์ มาได้ราวๆ 7 เดือน เป็นระยะเวลาที่ยังถือว่าน้อยนิดนัก แต่ก็พอทำให้ได้รู้ได้เข้าใจ ว่า "โยคะ" มีดีอย่างไร
ตั้งแต่สาวๆ ฉันเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกาย และไม่มีจิตฝักใฝ่อยากเล่นกีฬาใดใดเลย เพราะรู้สึกว่าเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก เหนื่อย ไม่ไหว ใจไม่สู้ วินัยไม่ถึง กลัวบาดเจ็บ สำคัญสุดคือ ความขี้เกียจ
แต่ที่ต้องหันมาสนใจ หรือพูดง่ายๆ ว่าต้องบังคับตัวเองให้รู้จักออกกำลังกายก็เพราะสังขารในวัยที่ครบ 47 ปีเต็ม มันร้องเตือนว่ากำลังจะแย่แล้วนะ ไหนจะไขมันเริ่มพอกตับ น้ำหนักที่เพิ่มพูนตามอายุ ยังไม่นับรวมอาการคนใกล้วัยทองที่แสดงออกทั้งด้านร่างกาย เช่น ปวดหัวไมเกรนมันทุกเดือน และจิตใจ (ซึมเศร้า) และสารพัดอาการที่ยังไม่ถึงกับป่วยแบบล้มหมอนนอนเสื่อ แต่มันก็ช่างน่ารำคาญ รบกวนการใช้ชีวิต และไม่มีความสุขเอาเสียเลย
ปลายปี 2563 ฉันจึงตั้งใจว่าจะต้องลดน้ำหนักลงให้ได้ พยายามปรับอาหารการกิน ลดหวาน มัน เค็ม ทำ IF แล้วก็เริ่มออกกำลังกายแบบจริงจังโดยดูตามคลิปต่างๆ ในยูทูป และได้เข้าคอร์สเทรนออนไลน์อยู่ 3 เดือน น้ำหนักก็ลดลงได้จริงๆ ในช่วง 4-5 เดือนลดไปได้ราวๆ 7 กก. พุงยุบลงไปตั้งเยอะ รู้สึกตัวเบาขึ้น ร่างกายกระฉับกระเฉงมากขึ้น อาการปวดหัวไมเกรนก็ห่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด
ในช่วงนั้นยังไม่ได้คิดถึงเรื่องโยคะ เพราะมุ่งไปที่คาร์ดิโอ กับเวทเทรนนิ่งมากกว่า กระทั่งช่วงล็อคดาวน์โควิดที่ทำให้หลายๆ คนต้องปรับตัว ทำงานอยู่บ้าน ไม่เว้นแม้แต่การสอนโยคะที่ครูต้องหันมาเปิดคอร์สสอนออนไลน์ และฉันบังเอิญได้เห็นโพสต์ประชาสัมพันธ์คอร์สเรียนผ่านเฟสบุ๊ค อ่านๆ ดูแล้วเห็นว่าน่าสนใจ ราคาไม่แพง แถมไม่ต้องเดินทางออกไปไหน สามารถเรียนที่บ้านได้ แค่ต้องหาซื้อเสื่อกับบล็อกฝึกโยคะมาไว้ซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ก็เลยตัดสินใจสมัครคอร์สไป 1 เดือน
จำได้ว่า ตอนเรียนแรกๆ รู้สึกตัวแข็ง แขนขา หลัง เอว ตึงไปหมด ขนาดว่าครูให้เริ่มจากท่าพื้นฐานง่ายๆ ยังต้องมีเจ็บมีปวดรวดร้าวกันไป แต่ก็แปลกที่พอเรียนเสร็จ ร่างกายมันรู้สึกเบา โล่ง สบาย คงคล้ายหรืออาจจะเหมือนกับการไปนวด ตอนถูกนวด ถูกกด จับเส้น มักจะเจ็บจนร้องโอย แต่พอนวดเสร็จก็สบายตัว ต่างกันที่โยคะเป็นการนวดและคลายเส้นด้วยตัวของเราเอง ไม่ต้องยืมมือใครมานวดซึ่งน่าจะถูกจริตกับฉัน เพราะหลังจากเรียนได้ไม่กี่ครั้งก็รู้สึกชอบมาก จนต้องสมัครต่อคอร์สแบบยาวไปถึง 3 เดือน
เรียนไปเรียนมากับคลาสเรียนรวมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รู้สึกไม่แล้วใจ เลยขอลงคอร์สส่วนตัวเพิ่มอีก กลายเป็นได้เรียนสัปดาห์ละ 4 วัน ได้ฝึกกันเต็มๆ ก็มีหยุดบ้างอะไรบ้างเพราะติดภารกิจ แต่ก็ถือว่าได้ใช้พลังงานและกระตุ้นกล้ามเนื้อแบบทั่วร่างกันเป็นระยะ
ครูบอกว่า โยคะที่สอนเรียกว่า "โฟลว์ โยคะ" ที่จะเน้นการทำท่าต่อเนื่องแบบลื่นไหล ต้องใช้พละกำลังทางร่างกายผสานลมหายใจ ฉะนั้นใครที่เรียนแนวนี้ก็จะไม่ใช่แค่การยืดเหยียดกล้ามเนื้อเพื่อคลายเส้นอย่างเดียว แต่จะได้ออกกำลังกายทั่วร่าง ขณะเดียวกันก็ต้องมีสติ สมาธิ ในการฝึกด้วย เรียกได้ว่า ได้หลายอย่างในคราวเดียวกัน
เอาจริงๆ ตอนแรกครูบอกก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก เพราะเวลาฝึกในหัวมันจะจดจ่อกับท่าทางที่ต้องทำ จะยกจะก้าว ก็ทำเป็นสเตปๆ ไป แถมพอเรียนไปหลายๆ ครั้ง ครูก็มีท่ายากมาเรื่อย ไหนจะต้องทำตามลมหายใจอีก "หายใจเข้า ยกขาขวา หายใจออก ก้าวขามาข้างหน้า" เล่นเอาหอบแฮ่ก บ่อยไปที่แอบขี้โกง ก็มันหายใจไม่ทันนี่นา แต่ไม่เป็นไร ครูไม่รู้ ฮ่าๆๆ
ทว่า...พอฝึกบ่อยๆ เข้า เริ่มจำท่าได้ ครูเริ่มพาโฟลว์หรือทำท่าต่อเนื่อง จากที่ต้องคอยฟังครูบอกให้ทำท่าโน้นท่านี้ ก็ไปต่อเองได้ ไม่ต้องรอครูอย่างเดียว แต่ทำไปตามลมหายใจของตัวเอง เออแฮะ...มันฟินกว่าเดิมอีก มีหลายครั้งที่รู้สึกเหมือนได้พบความสงบ คือจิตจดจ่อกับร่างกาย ลมหายใจ ความคิดมันว่างไปชั่วขณะ ตรงนี้แหละๆ ที่ฉันชอบมาก
ความรู้สึกแบบนั้น จะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เกินคาดหวังสำหรับฉันก็ว่าได้ เพราะที่ตัดสินใจเรียนก็แค่ต้องการออกกำลังกาย และเห็นว่าโยคะเป็นการออกกำลังกายในรูปแบบหนึ่ง ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบความสงบระหว่างที่กล้ามเนื้อกำลังทำงานอย่างหนัก แถมเหงื่อไหลไคลย้อย พอได้มาเจอกับตัวเองถึงได้เข้าใจ และแอบเสียดายว่ารู้อย่างนี้น่าจะฝึกมาตั้งนานแล้ว อาจช่วยให้ไม่กลายเป็นโรคซึมเศร้าและต้องกินยาอยู่หลายปีก็ได้
ยิ่งการเรียนครั้งล่าสุดฉันได้เรียนรู้อย่างหนึ่งว่า การฝึกโยคะ นอกจากต้องมีสมาธิแล้ว ยังต้องใส่ "ฟีลลิ่ง" เข้าไปด้วย ถ้ารู้สึกว่าตัวเองอ่อน ร่างกายมันก็จะอ่อนไปเอง ซึ่งวันนั้นฉันก็ฝึกไปตามฟีลลิ่งของตัวเอง เลิกคิดว่าทำไม่ได้ แต่ปล่อยมันไปตามธรรมชาติร่างกาย ใช้ลมหายใจนำทาง ไม่ฝืน แต่ก็ไม่ต้าน ปรากฎว่าหลังเรียนเสร็จฉันได้รับคำชมจากครูมากมายว่ามีพัฒนาการดีขึ้นมาก
วันต่อมา ฉันส่งข้อความไปบอกครูถึงสิ่งที่ค้นพบ ครูตอบกลับมาว่า "ใช่แล้ว จิตต้องคุมร่าง ไม่ใช่ร่างคุมจิต" ฉันนี่ว้าวเลย รู้สึกเหมือนได้ค้นพบหัวใจของโยคะด้วยตัวเอง ไม่ใช่จากคำบอกเล่าของคนอื่น ที่ต่อให้กี่พันกี่หมื่นคนบอก หรือแม้กระทั่งมีงานวิจัยทางการแพทย์มายืนยัน ก็ไม่เท่ากับประสบการณ์ที่ได้สัมผัสถึงจุดสมดุลระหว่างร่างกายและจิตใจนั้นด้วยตัวของเราเอง แม้เพียงเสี้ยววินาทีก็ตามเถอะ!
ปล.บันทึกไว้เป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเองขยันฝึกไปเรื่อยๆ หากมีประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้างก็ถือเป็นกำไร...เดินทางวัยนี้แล้ว ถึงได้ตระหนักว่าสุขภาพสำคัญที่สุดจริงๆ
โฆษณา